วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

Switching Hub

ปัญหาการติดตั้งใช้งาน Switching Hub
ปัญหาที่พบกันบ่อยเกี่ยวกับการใช้งาน Switching LAN ได้แก่ ปัญหาความล่าช้าของระบบ รวมทั้งปริมาณการเกิดความผิดพลาดบนเครือข่ายมีมาก ปัญหาการเกิดพายุของแพ็กเก็ต (Packet) บนเครือข่าย และการไม่เคารพกฎกติกาการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่าย ซึ่งนอกจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องของอินเตอร์เฟซ (Interface) อย่างเช่น การ์ด LAN แล้วยังเป็นปัญหาของการออกแบบและติดตั้งเป็นประการสำคัญดังนี้

การเชื่อมต่อแบบพ่วง Switching Hub หลาย ๆ ชั้น
เป็นปัญหาจากการออกแบบเครือข่ายของนักออกแบบที่เลียนแบบการสร้างคอนโดมิเนียม จึงได้นำ Switching Hub หลาย ๆ ตัวมาเชื่อมต่อแบบซ้อนกันเป็นชั้น โดยไม่มีการใช้ Uplink แต่ใช้พอร์ตที่เชื่อมต่อกับ Station หรือ Access Port (Access Port เป็นพอร์ตของ Switching Hub ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย) มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือค่าหน่วงเวลาที่เกิดขึ้นมีปริมาณมาก จนนำไปสู่เครือข่ายล่าช้าหรือติดขัด ลักษณะการเชื่อมต่อแบบคอนโดมิเนียมเช่นนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่าเป็นการเชื่อมต่อแบบแฟลตราคาถูกมากกว่า
ดังนั้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ท่านจะต้องหลีกเลี่ยงการพ่วง Switching Hub เกินกว่า 3 ชั้น (หากการพ่วงต่อเป็นชั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงมิได้) และหาก Switching Hub ทำงานบนโหมด Fragment Free จะยิ่งดีมาก หรือมิเช่นนั้นให้เลือก Switching Hub ที่มีความเร็ว Backplane สูง ๆ ซึ่งท่านสามารถดูรายละเอียดได้จากรายละเอียดสินค้าก่อนเลือกซื้อมาติดตั้ง
รูปที่ 1 การเชื่อมต่อ Switching Hub เป็นชั้น ๆ ที่มีจำนวนมากเกินไป
รูปที่ 2 ลักษณะของ Uplink Port แบบต่าง ๆ (บน) แบบ UTP 100 Mbps (ล่าง) Gigabit ที่ใช้ GBIC

อย่างไรก็ดีกฎการเชื่อมต่อ Switching Hub แบบพ่วงไม่เกิน 3 ชั้นใช้ไม่ได้กับ Switching Hub ที่มีประสิทธิภาพสูงจาก 3COM, HP และ Cisco รวมทั้งแบรนด์เนมดัง ๆ อีกหลายรายการ
ปัญหาความไม่เข้ากันของ Duplex Mode
Duplex Mode ในที่นี้หมายถึง Full Duplex และ Half Duplex ซึ่งโดยปกติแล้ว Switching Hub ถูกตั้งค่าให้ทำงานเป็น Half Duplex ตั้งแต่ผลิตออกมาจากโรงงาน และรอให้ท่านจัดตั้งเป็น Full Duplex อย่างเหมาะสม คำว่าความไม่เข้ากันของ Duplex Mode ในที่นี้หมายถึง Switching Hub ที่นำมาเชื่อมต่อกัน ฝั่งหนึ่งติดตั้งเป็น Full Duplex ขณะที่อีกฝั่งเป็น Half Duplex และเป็น Switching ที่ไม่สนับสนุน Auto Duplex Mode รวมทั้งปัญหาที่ Switching Hub ถูกติดตั้งพอร์ตให้เป็น Full Duplex ที่ลืมติดตั้ง Full Duplex ที่การ์ด LAN ทำให้เกิดปัญหา Late Collision จนนำไปสู่การที่ประสิทธิภาพของเครือข่ายถูกลดทอนลง


ปัญหา Looping

Looping เป็นการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ที่มีเส้นทางการเชื่อมต่อมากกว่าหนึ่งเส้นทาง ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม Looping ก่อให้เกิดปัญหาการทำซ้ำของแพ็กเก็ต และไหลวนเป็นเขาวงกตภายในเครือข่าย รวมทั้งก่อให้เกิดบรอดคาสต์ (Broadcast) ซ้ำ ๆ ที่เคลียร์ไม่หมด ผลคือทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายช้าลง อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อแบบ Loop มีผลดีในแง่ของการมีเส้นทางทดแทน เมื่อเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเกิดขัดข้องจะทำให้อีกเส้นทางหนึ่งสามารถทำงานทดแทนได้ในทันที อย่างไรก็ดีการที่จะทำเช่นนี้ได้ Switching Hub ของท่านจะต้องสนับสนุนระบบ Spanning Tree (IEEE 802.1D) และต้องทำงานทันทีที่เปิด Switching Hub
รูปที่ 3 การเชื่อมต่อแบบ Loop ระหว่าง Switches (บน) การเชื่อมต่อแบบ Loop โดยผ่าน Server Router (ล่าง)
รูปที่ 4 การเชื่อมต่อแบบ Loop ระหว่างสวิตช์อีกแบบหนึ่ง (บน) และการเชื่อมต่อ Loop ผ่านเราเตอร์ (ล่าง)
ปัญหาการแบ่งเครือข่ายบน Switching Hub ตัวเดียวกัน
ในที่นี้หมายถึงการกำหนดเลขหมายไอพีที่อยู่ต่างคลาส (Class) หรือเบอร์เครือข่าย เพื่อมิให้สามารถมองเห็นกันได้เสมือนอยู่ต่างเครือข่ายกัน แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่บน Switching Hub ตัวเดียวกัน เทคนิคเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเคล็ดวิธีในระดับเซียน แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเครือข่ายขนาดใหญ่ก็เป็นปัญหาระดับเซียนเช่นกัน เหตุผลก็คือแม้ว่าการกำหนดเลขหมาย IP ที่ต่างเครือข่ายกันจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการแบ่งเครือข่ายกันโดยสิ้นเชิง เพราะการแบ่งเครือข่ายกันที่ถูกต้องจะต้องแยกจากกันโดยทางกายภาพ หรือหากเป็น Switching Hub ตัวเดียวกันควรเป็น Layer 3 และกำหนดให้มี VLAN จากนั้นใช้ความสามารถของ Switching Hub Layer 3 เชื่อมต่อ VLAN เหล่านี้เข้าด้วยกัน
ข้อเสียของการสร้างเครือข่าย 2 เครือข่ายภายใน Switching Hub ตัวเดียวกันจะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม เนื่องจากว่าบรอดคาสต์ที่มี IP 255.255.255.255 ยังสามารถรุกล้ำเครือข่ายระหว่างกันได้ ทำให้การทำงานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพลดลงเช่นกัน
รูปที่ 5 ลักษณะการเชื่อมต่อและแบ่งเครือข่ายภายใต้ Switching Hub ตัวเดียวกัน
รูปที่ 6 อีกรูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงการแบ่งเครือข่ายอย่างไม่ถูกต้อง
รูปที่ 7 การเชื่อมต่อ VLAN ด้วยเราเตอร์

ปัญหาความผิดพลาดจากการทำ Trunking ของ VLAN

จุดประสงค์ของการทำ Trunking ของ VLAN ได้แก่การเชื่อมต่อสื่อสารกันระหว่าง VLAN ที่เหมือนกันแต่อยู่ต่าง Switching Hub รูปแบบของการเชื่อมต่อ Trunking ของ VLAN จะมีได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้มาตรฐาน IEEE 802.1q และ ISL รวมทั้งชนิดที่ใช้จำนวนของเส้น Trunk เท่ากับจำนวนของ VLAN ดังรูปที่ 8, 9 และ 10
รูปที่ 8 การเชื่อมต่อระหว่าง VLAN ระหว่าง Switching Hub ทั้งสองที่อาจถูกปิดกั้นด้วย Spanning Tree
รูปที่ 9 การทำ Overlapping VLAN โดยใช้ Trunking
รูปที่ 10 การกำหนดชนิดของ VLAN Trunking ภายใต้สวิตช์ของ Cisco
ปัญหาของการจัดตั้ง VLAN แบบที่ใช้มาตรฐาน IEEE 802.1q กับ ISL ได้แก่ปัญหาการกำหนดมาตรฐานที่แตกต่างกันระหว่าง Switching Hub ทั้งสอง เช่น ด้านหนึ่งอาจเป็น ISL ขณะที่อีกด้านหนึ่งติดตั้งเป็นมาตรฐานแบบ IEEE 802.1q ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดเลขหมายของ VLAN ที่สามารถวิ่งข้ามจาก Switching Hub หนึ่งไปยัง Switching Hub อีกตัวหนึ่ง

 
สำหรับ VLAN ที่ต้องใช้จำนวนของเส้นทางเชื่อมต่อเท่ากับจำนวนของ VLAN บน Switching Hub ปัญหาที่พบได้บ่อยคือการกำหนดเลขหมายของพอร์ตที่ถูกต้องสำหรับ Trunking ของ VLAN แต่ละชุด ที่สำคัญคือการติดตั้งสายสำหรับ Trunking ก่อนการติดตั้ง VLAN ให้เรียบร้อยจะทำให้ Spanning Tree ทำการปิดกั้นเส้นใดเส้นหนึ่งเพื่อป้องกันการเกิด Loop

ปัญหาการจัดตั้ง Port Trunking หรือ Link Aggregation
จุดประสงค์ของการจัดตั้ง Port Trunking หรือ Link Aggregation (Cisco เรียกว่า FastEtherchannel) ได้แก่การเชื่อมต่อเส้นสัญญาณหลาย ๆ เส้นระหว่าง Switching Hub ด้วยกัน หรือระหว่าง Switching Hub กับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลระหว่างกัน เนื่องจากการทำ Port Trunking จะช่วยให้ผู้ใช้งานบนสวิตชิง (Switching) หลายคนสามารถวิ่งเข้าหาผู้ใช้งานที่อยู่ต่าง Switching Hub ได้พร้อมกันในเวลาเดียวกันโดยใช้ช่องทางหลายช่องทางพร้อมกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการติดตั้ง Port Trunking นี้ได้แก่การละเมิดมาตรฐาน IEEE 802.3ad เช่น การกำหนดให้มี Port Trunking เกินจำนวน 8 เส้น (มาตรฐานมีได้ไม่เกิน 8 เส้น) รวมทั้งการกำหนดจำนวนเส้นของ Port Trunking โดยการอ้างอิงหมายเลขพอร์ตไม่ถูกต้อง ทำให้อาจถูกปิดกั้นโดยโปรโตคอล Spanning Tree นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่น ๆ เช่น Gigabit Port ที่ใช้ GBIC บางรุ่นของ Cisco ไม่สนับสนุนให้ใช้ Etherchannel
รูปที่ 11 ลักษณะการเชื่อมต่อแบบ Port Trunking หรือ Link Aggregation

ปัญหาการติดตั้ง Console บน Switching Hub
ปัญหาเกี่ยวกับการติดตั้งคอนโซล (Console) เพื่อการจัด Configure สำหรับ Switching Hub มีอยู่หลายประการ ได้แก่


 
  1. ปัญหาของสายคอนโซล : Switching Hub บางยี่ห้อจะต้องใช้สายคอนโซลเป็นการเฉพาะ ขณะที่ Switching Hub บางยี่ห้อ เช่น Baystack ที่สามารถใช้สาย LAN ธรรมดาได้
  2. ปัญหาการจัดตั้งค่า Baud rate หรือความเร็วในการสื่อสารระหว่างเครื่องพีซีกับพอร์ตที่เป็นคอนโซล โดยมาตรฐานของความเร็วที่มาจากโรงงานผู้ผลิตคือ 9600 นอกจากนี้ค่าอื่น ๆ ที่ใช้ได้คือ Data 8 บิต ส่วน Stop Bit เท่ากับ None และ Flow Control ควรถูกตั้งค่าไว้ที่ None จะดีที่สุด เนื่องจากค่าที่เป็นฮาร์ดแวร์เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อกับโมเด็ม


การใช้ช่อง Uplink เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์

แม้ Uplink จะถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับ Switching Hub ในระดับบนหรือในระดับเดียวกันก็ตาม Switching Hub ส่วนใหญ่ยังสามารถใช้ช่องสัญญาณ Uplink เพื่อการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ก็มี Switching Hub บางรุ่นไม่สามารถใช้ Uplink เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แต่ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับ Switching Hub ด้วยกันเท่านั้น นอกจากนี้ Switching Hub ในระดับบน (คำว่าในระดับบนในที่นี้หมายถึง Switching Hub ในระดับ Distributed Layer) ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เป็น Downlink ให้กับช่องทาง Uplink ของ Switching Hub ในระดับล่าง ด้วยเหตุนี้ในบางรุ่นท่านอาจไม่สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ให้ใช้ช่องสัญญาณ Downlink ของมันเพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์แทน
รูปที่ 12 ลักษณะของ Uplink Port ที่ออกแบบมาสำหรับทำ Uplink โดยเฉพาะ

การใช้สายเพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ไม่ถูกต้อง

ปกติการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ด้วยกันจะต้องใช้สายสัญญาณที่เรียกว่า Crossover หรือสายไขว้ ยกเว้น Switching Hub ที่มีปุ่มให้เลือกทั้งแบบ MDI และ MDI-X หากเป็นการเชื่อมต่อระหว่าง MDI กับ MDI-X ท่านสามารถใช้สาย LAN แบบสายตรงได้ทันที
รูปที่ 13 การเชื่อมต่อชนิดไขว้สาย UTP

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเราเตอร์ 

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเราเตอร์มีมากมายหลายประการ ซึ่งพอที่จะแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้ดังนี้

ปัญหาการเคลียร์ค่า Configure เก่า ๆ ในเราเตอร์

บ่อยครั้งที่ผู้ดูแลเครือข่ายอาจมีความจำเป็นต้องการเคลียร์ค่าเก่าในเราเตอร์จะเนื่องด้วยมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของเครือข่าย หรือว่าต้องการเคลียร์ค่า Configure ที่ Admin คนก่อนได้ทำไว้ก็ตาม การเคลียร์ค่า Configure ในเราเตอร์โดยเฉพาะของ Cisco สามารถทำได้ในหลายวิธีการดังนี้

การเคลียร์ค่าด้วยการใช้คำสั่ง NVRAM
การเคลียร์ค่าด้วยวิธีนี้สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียงแต่ท่านไปที่ Privilege Mode จากนั้นใช้คำสั่ง Erase nvram แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อการยืนยัน หลังจากนี้ให้รีบูต (Reboot) เราเตอร์ใหม่ด้วยการใช้คำสั่ง Reload เท่านี้เอง Configure เก่าก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดีการใช้วิธีนี้แม้จะสะดวกรวดเร็ว แต่ทำให้เกิดปัญหาหากได้กระทำ Erase nvram มากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป ปัญหาที่จะเกิดคือตัวเราเตอร์จะมีอาการอัลไซเมอร์หรือมีอาการหลับใน คือไม่รับคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งอาจไม่ปฏิบัติตามค่า Configure ที่ท่านตั้งไว้ทั้งหมดแม้จะทำการรีบูตใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ด้วยเหตุนี้เพื่อความแน่นอนปลอดภัยท่านควรใช้วิธีการที่ 2
การเคลียร์ค่า Configure โดยการคืนค่า Register
เป็นที่ทราบดีว่าเราเตอร์ของ Cisco จะใช้ Register 2102 เพื่อการปฏิบัติงานตามปกติ ในกรณีที่ท่านไม่ต้องการใช้ Configure เก่าขณะที่ท่านบูตเราเตอร์ขึ้นมา ท่านจะต้อง Bypass การทำงานของ Configure เก่าด้วยการใช้ Register 2142 โดยท่านจะต้องกดปุ่ม Ctrl-Break หลายครั้งขณะที่บูตอัปเราเตอร์จนกระทั่งปรากฏเครื่องหมาย Prompt " >" จากนั้นให้ใช้คำสั่ง o/r 0x2142 หลังจากกดปุ่ม Enter และปรากฏสัญลักษณ์ Prompt ขึ้นใหม่ ให้พิมพ์ว่า "I" แล้วเราเตอร์ก็จะรีบูตใหม่แล้วใช้ Register 2142 แทน
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วิธีการนี้คือท่านอาจลืมคืนค่าจาก Register 2142 กลับไปเป็น 2102 ด้วยคำสั่ง Configure-register 0x2102 แล้ว Reload ใหม่ ผลลัพธ์คือหากท่านใช้ Register 2142 ในการจัด Configure จะเกิดปัญหารวนต่าง ๆ ตามมา หรือไม่สามารถเก็บค่า Configure ไว้ได้ตลอด

สรุป หากท่านต้องการเคลียร์ค่า Configure ท่านควรเลือกใช้วิธีการที่ 2 จะปลอดภัยแน่นอนกว่า


ปัญหาการใช้งานสายสัญญาณต่าง ๆ ขณะที่เราเตอร์ยังทำงาน

ปัญหาที่เกิดจากการติดตั้งสายสัญญาณขณะที่เราเตอร์ยังทำงานอยู่จะก่อให้เกิดหายนะต่อพอร์ตต่าง ๆ ของเราเตอร์ได้ โดยมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงการถอดเสียบสายสัญญาณต่อไปนี้ขณะที่เราเตอร์ยังเปิดใช้งานอยู่
    -สายคอนโซล
    -สาย Serial ที่เชื่อมต่อกับโมเด็ม
    -สาย BRI ที่เชื่อมต่อระหว่าง BRI Port กับอุปกรณ์ NT1
    2. หลีกเลี่ยงการใช้สัญญาณที่ไม่ถูกต้องต่อไปนี้บนพอร์ตของเราเตอร์
- การติดตั้งสาย ISDN บน LAN Port หรือ Console Port ของสวิตช์ สาเหตุเนื่องจากสาย ISDN ที่ต่อเข้ามายัง NT1 ที่ U Port มีแรงดันไฟอยู่ในช่วง 80-90 โวลต์ ขณะที่ Console Port ใช้แรงดันไฟอยู่ที่ 5 โวลต์ และ LAN Port อยู่ที่ 1.4 - 4 โวลต์ ดังนั้นการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องหมายถึงหายนะทางการเงินครั้งใหญ่สำหรับท่าน เพราะค่าเปลี่ยนแผงวงจรของเราเตอร์หากเป็นราคามือหนึ่งไม่น้อยกว่า 10,000 บาทขึ้นไป และมีผู้ประสบปัญหานี้มาแล้ว จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
การเชื่อมต่อสาย LAN เข้าไปที่ Port BRI ของเราเตอร์
ตารางแสดงการเชื่อมต่อสายภายในของคอนโซล

- การติดตั้งสาย ISDN บน LAN Port หรือ Console Port ของสวิตช์ สาเหตุเนื่องจากสาย ISDN ที่ต่อเข้ามายัง NT1 ที่ U Port มีแรงดันไฟอยู่ในช่วง 80-90 โวลต์ ขณะที่ Console Port ใช้แรงดันไฟอยู่ที่ 5 โวลต์ และ LAN Port อยู่ที่ 1.4 - 4 โวลต์ ดังนั้นการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องหมายถึงหายนะทางการเงินครั้งใหญ่สำหรับท่าน เพราะค่าเปลี่ยนแผงวงจรของเราเตอร์หากเป็นราคามือหนึ่งไม่น้อยกว่า 10,000 บาทขึ้นไป และมีผู้ประสบปัญหานี้มาแล้ว จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
ปัญหาเกี่ยวกับการจัด Configure Routing

ปัญหาการจัด Configure Routing ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อย สามารถแยกออกเป็นข้อ ๆ ได้เช่นกันดังนี้

  1. ปัญหาการชี้ Gateway : การชี้ Gateway ของเราเตอร์เป็นการกำหนดให้เครือข่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือจากที่อื่น ๆ สามารถเข้ามาติดต่อเครือข่ายภายในได้ การชี้ Gateway จะต้องเกิดขึ้นทั้งสองทาง หมายความว่าเราเตอร์ 2 ตัวที่เชื่อมต่อกันโดยตรงจะต้องอ้างอิง Gateway ของกันและกัน เพื่อให้สามารถไปมาหาสู่กันได้ ซึ่งเลขหมาย Gateway ของเราเตอร์ก็คือเบอร์ IP Address ของ Serial Port ของเราเตอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
  2. ปัญหาเกี่ยวกับ Routing : ปัญหาเกี่ยวกับ Routing ได้แก่ปัญหาที่นอกจากจะเกี่ยวกับการอ้างอิง Gateway แล้ว ยังเป็นเรื่องของการอ้างอิงเส้นทางที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเราเตอร์โดยตรง หากเป็นการใช้ Static Route (ดูรูปที่ 21) เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ตามปกติ เราเตอร์จะต้องอ้างอิงเส้นทางทั้งหมดที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับมันโดยตรง ไม่เพียงเท่านั้นทั้งเครือข่ายและเราเตอร์ปลายทางที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเราเตอร์นี้โดยตรงจะต้องอ้างอิงเส้นทางที่จะมาหาเราอีกด้วย มิเช่นนั้นจะมีปัญหาการสื่อสารแน่นอน
สมมติว่าเครือข่าย 192.168.10.0 ที่ดูแลโดย Router A เชื่อมต่อโดยตรงกับ Router B ดังนั้น Gateway ของ Router A ได้แก่ 192.168.20.2 ขณะเดียวกัน Gateway ของ Router B ได้แก่ 192.168.20.1 และ 192.168.25.2 ซึ่งเป็น Serial Port ของ Router C
หากผู้คนในเครือข่าย 192.168.10.0 ต้องการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่าย 192.168.50.0 ตัว Router A จะต้องทำอย่างไร?

ประการแรก Router A จะต้องมองหา Gateway ก่อน จากนั้นจะต้องอ้างอิงเส้นทางที่เชื่อมต่อกันระหว่าง Router B กับ Router C ซึ่งเป็นเครือข่าย 192.168.25.0 จากนั้นจึงส่งแพ็กเก็ตที่ผ่านการ Encapsulation เป็นที่เรียบร้อยแล้วออกไปที่ Router B โดยมีปลายทางอยู่ที่เครือข่าย 192.168.50.0
เมื่อ Router B ได้รับแพ็กเก็ตแล้ว Router B จะทำการตรวจสอบแพ็กเก็ต และพบว่ามีปลายทางอยู่ที่ 192.168.50.0 และมีการอ้างอิงเส้นทาง 192.168.25.0 และเส้นทางนี้มีสถานะพร้อมทำงาน จึงส่งแพ็กเก็ตออกไปในที่สุด
  1. ปัญหาการชี้ Default Gateway : สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการออกไปจากเครือข่ายเพื่อติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครือข่ายจะต้องหาประตูทางออกให้พบเสียก่อน นั่นคือ เบอร์ IP ที่เป็น Default Gateway ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์เองสามารถตรวจพบได้จากตาราง Routing Table ซึ่งกำหนดขึ้นโดยผู้ดูแลเครือข่ายหรือเจ้าของคอมพิวเตอร์นั้น ๆ การไม่อ้าง Default Gateway หรือระบุเลขหมาย IP ที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้ไม่สามารถออกไปจากเครือข่ายได้
  2. ปัญหาการกำหนดเลขหมาย IP ของเครือข่ายภายในกับส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเราเตอร์เป็นเครือข่ายเดียวกันหรือ Subnet เดียวกัน : การใช้เลขหมาย IP สำหรับเครือข่ายภายใน (LAN) กับเครือข่ายระหว่างเราเตอร์เป็นเครือข่ายหรือ Subnet เดียวกันจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นและไม่สามารถใช้งานได้
  3. ปัญหาการกำหนดเลขหมาย IP ของ Serial บนเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันโดยตรง ไม่อยู่ในเครือข่ายหรือ Subnet เดียวกัน : การกระทำเช่นนี้จะทำให้ไม่สื่อสารระหว่างกันได้เช่นกัน
  4. การประกาศเครือข่ายที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้กระทำ : สำหรับท่านที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง อย่างเช่น RIP หรือ EIGRP รวมทั้ง IGRP และ OSPF เป็นต้น เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องประกาศเลขหมาย IP ของเครือข่ายที่เราเตอร์ดูแลอยู่ให้เราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันโดยตรงได้รับทราบ รวมทั้งการประกาศเส้นทางที่จะเดินทางมาสู่เราเตอร์ หากไม่กระทำดังกล่าวหรืออ้างเลขหมายที่ไม่ถูกต้องจะไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างแน่นอน
  5. ปัญหาการใช้เวอร์ชันของโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ต่างกัน : สำหรับท่านที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางที่เรียกว่า RIP ท่านจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นเวอร์ชันเดียวกัน เนื่องจาก RIP เวอร์ชัน 1 กับเวอร์ชัน 2 ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นหากเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่ายจำเป็นต้องใช้ RIP เวอร์ชัน 1 และ 2 ควรถูกจัดตั้งให้สามารถทำงานได้ทั้งเวอร์ชัน 1 และ 2 พร้อมกัน จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
จุดที่อาจผิดพลาดจากการจัด Configure Router

จุดที่อาจผิดพลาดจากการจัด Configure Router สามารถแยกออกเป็นจุดต่าง ๆ ดังนี้
  • IP Address ระหว่าง Serial ของเราเตอร์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันโดยตรงไม่ได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
  • การอ้างเลขหมาย IP ที่เป็น Gateway ของเราเตอร์ไม่ถูกต้อง
  • โปรโตคอลของ WAN ที่ใช้เพื่อ Encapsulation Packet ของเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นไม่ตรงกัน เช่น ฝั่งหนึ่งเป็น PPP ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็น HDLC
  • หากเชื่อมต่อระหว่างเราเตอร์โดยผ่านโครงข่าย Frame Relay ท่านจะต้อง Encapsulation Packet ให้เป็น Frame Relay เช่นกัน
  • ไม่ได้กำหนดคำสั่ง No Shutdown (บนเราเตอร์ของ Cisco)
  • ในกรณีที่เราเตอร์ไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยตรง (ต้องผ่านเราเตอร์ตัวอื่น) มีความเป็นไปได้มากที่ไม่ได้อ้างอิงเส้นทางทั้งขาไปและขากลับ
  • ลืม Save ค่า Configure ที่ตั้งไว้ใน NVRAM ของเราเตอร์
  • ไม่ได้ประกาศเครือข่ายและเส้นทางในกรณีที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางอย่าง RIP, IGRP และ EIGRP เป็นต้น
  • มีการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ต่างเวอร์ชันกัน เช่น RIP v1 และ RIP v2 
  • ในกรณีที่มีการใช้ IGRP หรือ EIGRP เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางมีความเป็นไปได้มากที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเลขหมาย AS ที่ต่างกัน
  • ในกรณีที่มีการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางอย่าง OSPF มีความเป็นไปได้ที่อ้าง Process ID No. ที่ต่างกัน
  • ในกรณีที่กำหนดให้เราเตอร์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันโดยตรง มีการพิสูจน์สิทธิ์ (Authentication) ของกันและกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะมาจากการใช้กุญแจที่แตกต่างกัน
  • เกิดผิดพลาดในการกำหนด Access-List ทำให้เกิดการปิดกั้นเครือข่าย 
  • ในกรณีที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ RIP อาจมีความเป็นไปได้ว่าจำนวนของ Hop ที่เชื่อมต่อกันเกินข้อกำหนดมาตรฐานของ RIP ที่มีได้ไม่เกิน 15 Hop ก็เป็นได้
ที่กล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาผิดพลาดจากการจัดตั้ง Configure Router ที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เมื่อใดก็ตามที่การจัดตั้งเราเตอร์มีปัญหา ท่านสามารถตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ตามตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น