บล๊อกนี่จัดทำขึ้นเพื่อ เก็บรวบรวมและนำเสนองาน วิชา ข้อมูลและเครือข่าย จัดทำโดย นาย รัตนไชย สุริยะ
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556
Switching Hub
ปัญหาการติดตั้งใช้งาน Switching Hub
ปัญหาที่พบกันบ่อยเกี่ยวกับการใช้งาน Switching LAN ได้แก่ ปัญหาความล่าช้าของระบบ รวมทั้งปริมาณการเกิดความผิดพลาดบนเครือข่ายมีมาก ปัญหาการเกิดพายุของแพ็กเก็ต (Packet) บนเครือข่าย และการไม่เคารพกฎกติกาการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่าย ซึ่งนอกจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องของอินเตอร์เฟซ (Interface) อย่างเช่น การ์ด LAN แล้วยังเป็นปัญหาของการออกแบบและติดตั้งเป็นประการสำคัญดังนี้
ปัญหาที่พบกันบ่อยเกี่ยวกับการใช้งาน Switching LAN ได้แก่ ปัญหาความล่าช้าของระบบ รวมทั้งปริมาณการเกิดความผิดพลาดบนเครือข่ายมีมาก ปัญหาการเกิดพายุของแพ็กเก็ต (Packet) บนเครือข่าย และการไม่เคารพกฎกติกาการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่าย ซึ่งนอกจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องของอินเตอร์เฟซ (Interface) อย่างเช่น การ์ด LAN แล้วยังเป็นปัญหาของการออกแบบและติดตั้งเป็นประการสำคัญดังนี้
การเชื่อมต่อแบบพ่วง Switching Hub หลาย ๆ ชั้น
เป็นปัญหาจากการออกแบบเครือข่ายของนักออกแบบที่เลียนแบบการสร้างคอนโดมิเนียม จึงได้นำ Switching Hub หลาย ๆ ตัวมาเชื่อมต่อแบบซ้อนกันเป็นชั้น โดยไม่มีการใช้ Uplink แต่ใช้พอร์ตที่เชื่อมต่อกับ Station หรือ Access Port (Access Port เป็นพอร์ตของ Switching Hub ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย) มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือค่าหน่วงเวลาที่เกิดขึ้นมีปริมาณมาก จนนำไปสู่เครือข่ายล่าช้าหรือติดขัด ลักษณะการเชื่อมต่อแบบคอนโดมิเนียมเช่นนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่าเป็นการเชื่อมต่อแบบแฟลตราคาถูกมากกว่า
ดังนั้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ท่านจะต้องหลีกเลี่ยงการพ่วง Switching Hub เกินกว่า 3 ชั้น (หากการพ่วงต่อเป็นชั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงมิได้) และหาก Switching Hub ทำงานบนโหมด Fragment Free จะยิ่งดีมาก หรือมิเช่นนั้นให้เลือก Switching Hub ที่มีความเร็ว Backplane สูง ๆ ซึ่งท่านสามารถดูรายละเอียดได้จากรายละเอียดสินค้าก่อนเลือกซื้อมาติดตั้ง

รูปที่ 1 การเชื่อมต่อ Switching Hub เป็นชั้น ๆ ที่มีจำนวนมากเกินไป

รูปที่ 2 ลักษณะของ Uplink Port แบบต่าง ๆ (บน) แบบ UTP 100 Mbps (ล่าง) Gigabit ที่ใช้ GBIC
อย่างไรก็ดีกฎการเชื่อมต่อ Switching Hub แบบพ่วงไม่เกิน 3 ชั้นใช้ไม่ได้กับ Switching Hub ที่มีประสิทธิภาพสูงจาก 3COM, HP และ Cisco รวมทั้งแบรนด์เนมดัง ๆ อีกหลายรายการ
อย่างไรก็ดีกฎการเชื่อมต่อ Switching Hub แบบพ่วงไม่เกิน 3 ชั้นใช้ไม่ได้กับ Switching Hub ที่มีประสิทธิภาพสูงจาก 3COM, HP และ Cisco รวมทั้งแบรนด์เนมดัง ๆ อีกหลายรายการ
ปัญหาความไม่เข้ากันของ Duplex Mode
Duplex Mode ในที่นี้หมายถึง Full Duplex และ Half Duplex ซึ่งโดยปกติแล้ว Switching Hub ถูกตั้งค่าให้ทำงานเป็น Half Duplex ตั้งแต่ผลิตออกมาจากโรงงาน และรอให้ท่านจัดตั้งเป็น Full Duplex อย่างเหมาะสม คำว่าความไม่เข้ากันของ Duplex Mode ในที่นี้หมายถึง Switching Hub ที่นำมาเชื่อมต่อกัน ฝั่งหนึ่งติดตั้งเป็น Full Duplex ขณะที่อีกฝั่งเป็น Half Duplex และเป็น Switching ที่ไม่สนับสนุน Auto Duplex Mode รวมทั้งปัญหาที่ Switching Hub ถูกติดตั้งพอร์ตให้เป็น Full Duplex ที่ลืมติดตั้ง Full Duplex ที่การ์ด LAN ทำให้เกิดปัญหา Late Collision จนนำไปสู่การที่ประสิทธิภาพของเครือข่ายถูกลดทอนลง
ปัญหา Looping
Looping เป็นการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ที่มีเส้นทางการเชื่อมต่อมากกว่าหนึ่งเส้นทาง ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม Looping ก่อให้เกิดปัญหาการทำซ้ำของแพ็กเก็ต และไหลวนเป็นเขาวงกตภายในเครือข่าย รวมทั้งก่อให้เกิดบรอดคาสต์ (Broadcast) ซ้ำ ๆ ที่เคลียร์ไม่หมด ผลคือทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายช้าลง อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อแบบ Loop มีผลดีในแง่ของการมีเส้นทางทดแทน เมื่อเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเกิดขัดข้องจะทำให้อีกเส้นทางหนึ่งสามารถทำงานทดแทนได้ในทันที อย่างไรก็ดีการที่จะทำเช่นนี้ได้ Switching Hub ของท่านจะต้องสนับสนุนระบบ Spanning Tree (IEEE 802.1D) และต้องทำงานทันทีที่เปิด Switching Hub


รูปที่ 3 การเชื่อมต่อแบบ Loop ระหว่าง Switches (บน) การเชื่อมต่อแบบ Loop โดยผ่าน Server Router (ล่าง)


รูปที่ 4 การเชื่อมต่อแบบ Loop ระหว่างสวิตช์อีกแบบหนึ่ง (บน) และการเชื่อมต่อ Loop ผ่านเราเตอร์ (ล่าง)
ปัญหาการแบ่งเครือข่ายบน Switching Hub ตัวเดียวกัน
ในที่นี้หมายถึงการกำหนดเลขหมายไอพีที่อยู่ต่างคลาส (Class) หรือเบอร์เครือข่าย เพื่อมิให้สามารถมองเห็นกันได้เสมือนอยู่ต่างเครือข่ายกัน แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่บน Switching Hub ตัวเดียวกัน เทคนิคเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเคล็ดวิธีในระดับเซียน แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเครือข่ายขนาดใหญ่ก็เป็นปัญหาระดับเซียนเช่นกัน เหตุผลก็คือแม้ว่าการกำหนดเลขหมาย IP ที่ต่างเครือข่ายกันจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการแบ่งเครือข่ายกันโดยสิ้นเชิง เพราะการแบ่งเครือข่ายกันที่ถูกต้องจะต้องแยกจากกันโดยทางกายภาพ หรือหากเป็น Switching Hub ตัวเดียวกันควรเป็น Layer 3 และกำหนดให้มี VLAN จากนั้นใช้ความสามารถของ Switching Hub Layer 3 เชื่อมต่อ VLAN เหล่านี้เข้าด้วยกัน
ข้อเสียของการสร้างเครือข่าย 2 เครือข่ายภายใน Switching Hub ตัวเดียวกันจะก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม เนื่องจากว่าบรอดคาสต์ที่มี IP 255.255.255.255 ยังสามารถรุกล้ำเครือข่ายระหว่างกันได้ ทำให้การทำงานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพลดลงเช่นกัน

รูปที่ 5 ลักษณะการเชื่อมต่อและแบ่งเครือข่ายภายใต้ Switching Hub ตัวเดียวกัน


รูปที่ 7 การเชื่อมต่อ VLAN ด้วยเราเตอร์
ปัญหาความผิดพลาดจากการทำ Trunking ของ VLAN
จุดประสงค์ของการทำ Trunking ของ VLAN ได้แก่การเชื่อมต่อสื่อสารกันระหว่าง VLAN ที่เหมือนกันแต่อยู่ต่าง Switching Hub รูปแบบของการเชื่อมต่อ Trunking ของ VLAN จะมีได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้มาตรฐาน IEEE 802.1q และ ISL รวมทั้งชนิดที่ใช้จำนวนของเส้น Trunk เท่ากับจำนวนของ VLAN ดังรูปที่ 8, 9 และ 10
ปัญหาความผิดพลาดจากการทำ Trunking ของ VLAN
จุดประสงค์ของการทำ Trunking ของ VLAN ได้แก่การเชื่อมต่อสื่อสารกันระหว่าง VLAN ที่เหมือนกันแต่อยู่ต่าง Switching Hub รูปแบบของการเชื่อมต่อ Trunking ของ VLAN จะมีได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้มาตรฐาน IEEE 802.1q และ ISL รวมทั้งชนิดที่ใช้จำนวนของเส้น Trunk เท่ากับจำนวนของ VLAN ดังรูปที่ 8, 9 และ 10

รูปที่ 8 การเชื่อมต่อระหว่าง VLAN ระหว่าง Switching Hub ทั้งสองที่อาจถูกปิดกั้นด้วย Spanning Tree

รูปที่ 9 การทำ Overlapping VLAN โดยใช้ Trunking

รูปที่ 10 การกำหนดชนิดของ VLAN Trunking ภายใต้สวิตช์ของ Cisco
ปัญหาของการจัดตั้ง VLAN แบบที่ใช้มาตรฐาน IEEE 802.1q กับ ISL ได้แก่ปัญหาการกำหนดมาตรฐานที่แตกต่างกันระหว่าง Switching Hub ทั้งสอง เช่น ด้านหนึ่งอาจเป็น ISL ขณะที่อีกด้านหนึ่งติดตั้งเป็นมาตรฐานแบบ IEEE 802.1q ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดเลขหมายของ VLAN ที่สามารถวิ่งข้ามจาก Switching Hub หนึ่งไปยัง Switching Hub อีกตัวหนึ่ง
สำหรับ VLAN ที่ต้องใช้จำนวนของเส้นทางเชื่อมต่อเท่ากับจำนวนของ VLAN บน Switching Hub ปัญหาที่พบได้บ่อยคือการกำหนดเลขหมายของพอร์ตที่ถูกต้องสำหรับ Trunking ของ VLAN แต่ละชุด ที่สำคัญคือการติดตั้งสายสำหรับ Trunking ก่อนการติดตั้ง VLAN ให้เรียบร้อยจะทำให้ Spanning Tree ทำการปิดกั้นเส้นใดเส้นหนึ่งเพื่อป้องกันการเกิด Loop
ปัญหาการจัดตั้ง Port Trunking หรือ Link Aggregation
จุดประสงค์ของการจัดตั้ง Port Trunking หรือ Link Aggregation (Cisco เรียกว่า FastEtherchannel) ได้แก่การเชื่อมต่อเส้นสัญญาณหลาย ๆ เส้นระหว่าง Switching Hub ด้วยกัน หรือระหว่าง Switching Hub กับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลระหว่างกัน เนื่องจากการทำ Port Trunking จะช่วยให้ผู้ใช้งานบนสวิตชิง (Switching) หลายคนสามารถวิ่งเข้าหาผู้ใช้งานที่อยู่ต่าง Switching Hub ได้พร้อมกันในเวลาเดียวกันโดยใช้ช่องทางหลายช่องทางพร้อมกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการติดตั้ง Port Trunking นี้ได้แก่การละเมิดมาตรฐาน IEEE 802.3ad เช่น การกำหนดให้มี Port Trunking เกินจำนวน 8 เส้น (มาตรฐานมีได้ไม่เกิน 8 เส้น) รวมทั้งการกำหนดจำนวนเส้นของ Port Trunking โดยการอ้างอิงหมายเลขพอร์ตไม่ถูกต้อง ทำให้อาจถูกปิดกั้นโดยโปรโตคอล Spanning Tree นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่น ๆ เช่น Gigabit Port ที่ใช้ GBIC บางรุ่นของ Cisco ไม่สนับสนุนให้ใช้ Etherchannel

รูปที่ 11 ลักษณะการเชื่อมต่อแบบ Port Trunking หรือ Link Aggregation
ปัญหาการติดตั้ง Console บน Switching Hub
ปัญหาการติดตั้ง Console บน Switching Hub
ปัญหาเกี่ยวกับการติดตั้งคอนโซล (Console) เพื่อการจัด Configure สำหรับ Switching Hub มีอยู่หลายประการ ได้แก่
- ปัญหาของสายคอนโซล : Switching Hub บางยี่ห้อจะต้องใช้สายคอนโซลเป็นการเฉพาะ ขณะที่ Switching Hub บางยี่ห้อ เช่น Baystack ที่สามารถใช้สาย LAN ธรรมดาได้
- ปัญหาการจัดตั้งค่า Baud rate หรือความเร็วในการสื่อสารระหว่างเครื่องพีซีกับพอร์ตที่เป็นคอนโซล โดยมาตรฐานของความเร็วที่มาจากโรงงานผู้ผลิตคือ 9600 นอกจากนี้ค่าอื่น ๆ ที่ใช้ได้คือ Data 8 บิต ส่วน Stop Bit เท่ากับ None และ Flow Control ควรถูกตั้งค่าไว้ที่ None จะดีที่สุด เนื่องจากค่าที่เป็นฮาร์ดแวร์เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อกับโมเด็ม
การใช้ช่อง Uplink เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์
แม้ Uplink จะถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับ Switching Hub ในระดับบนหรือในระดับเดียวกันก็ตาม Switching Hub ส่วนใหญ่ยังสามารถใช้ช่องสัญญาณ Uplink เพื่อการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ก็มี Switching Hub บางรุ่นไม่สามารถใช้ Uplink เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แต่ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับ Switching Hub ด้วยกันเท่านั้น นอกจากนี้ Switching Hub ในระดับบน (คำว่าในระดับบนในที่นี้หมายถึง Switching Hub ในระดับ Distributed Layer) ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เป็น Downlink ให้กับช่องทาง Uplink ของ Switching Hub ในระดับล่าง ด้วยเหตุนี้ในบางรุ่นท่านอาจไม่สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ให้ใช้ช่องสัญญาณ Downlink ของมันเพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์แทน

รูปที่ 12 ลักษณะของ Uplink Port ที่ออกแบบมาสำหรับทำ Uplink โดยเฉพาะ
การใช้สายเพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ไม่ถูกต้อง
ปกติการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ด้วยกันจะต้องใช้สายสัญญาณที่เรียกว่า Crossover หรือสายไขว้ ยกเว้น Switching Hub ที่มีปุ่มให้เลือกทั้งแบบ MDI และ MDI-X หากเป็นการเชื่อมต่อระหว่าง MDI กับ MDI-X ท่านสามารถใช้สาย LAN แบบสายตรงได้ทันที
การใช้สายเพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ไม่ถูกต้อง
ปกติการเชื่อมต่อระหว่าง Switching Hub ด้วยกันจะต้องใช้สายสัญญาณที่เรียกว่า Crossover หรือสายไขว้ ยกเว้น Switching Hub ที่มีปุ่มให้เลือกทั้งแบบ MDI และ MDI-X หากเป็นการเชื่อมต่อระหว่าง MDI กับ MDI-X ท่านสามารถใช้สาย LAN แบบสายตรงได้ทันที

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเราเตอร์
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเราเตอร์มีมากมายหลายประการ ซึ่งพอที่จะแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้ดังนี้
ปัญหาการเคลียร์ค่า Configure เก่า ๆ ในเราเตอร์
บ่อยครั้งที่ผู้ดูแลเครือข่ายอาจมีความจำเป็นต้องการเคลียร์ค่าเก่าในเราเตอร์จะเนื่องด้วยมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของเครือข่าย หรือว่าต้องการเคลียร์ค่า Configure ที่ Admin คนก่อนได้ทำไว้ก็ตาม การเคลียร์ค่า Configure ในเราเตอร์โดยเฉพาะของ Cisco สามารถทำได้ในหลายวิธีการดังนี้
การเคลียร์ค่าด้วยการใช้คำสั่ง NVRAM
การเคลียร์ค่าด้วยวิธีนี้สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียงแต่ท่านไปที่ Privilege Mode จากนั้นใช้คำสั่ง Erase nvram แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อการยืนยัน หลังจากนี้ให้รีบูต (Reboot) เราเตอร์ใหม่ด้วยการใช้คำสั่ง Reload เท่านี้เอง Configure เก่าก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดีการใช้วิธีนี้แม้จะสะดวกรวดเร็ว แต่ทำให้เกิดปัญหาหากได้กระทำ Erase nvram มากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป ปัญหาที่จะเกิดคือตัวเราเตอร์จะมีอาการอัลไซเมอร์หรือมีอาการหลับใน คือไม่รับคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งอาจไม่ปฏิบัติตามค่า Configure ที่ท่านตั้งไว้ทั้งหมดแม้จะทำการรีบูตใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ด้วยเหตุนี้เพื่อความแน่นอนปลอดภัยท่านควรใช้วิธีการที่ 2
การเคลียร์ค่า Configure โดยการคืนค่า Register
เป็นที่ทราบดีว่าเราเตอร์ของ Cisco จะใช้ Register 2102 เพื่อการปฏิบัติงานตามปกติ ในกรณีที่ท่านไม่ต้องการใช้ Configure เก่าขณะที่ท่านบูตเราเตอร์ขึ้นมา ท่านจะต้อง Bypass การทำงานของ Configure เก่าด้วยการใช้ Register 2142 โดยท่านจะต้องกดปุ่ม Ctrl-Break หลายครั้งขณะที่บูตอัปเราเตอร์จนกระทั่งปรากฏเครื่องหมาย Prompt " >" จากนั้นให้ใช้คำสั่ง o/r 0x2142 หลังจากกดปุ่ม Enter และปรากฏสัญลักษณ์ Prompt ขึ้นใหม่ ให้พิมพ์ว่า "I" แล้วเราเตอร์ก็จะรีบูตใหม่แล้วใช้ Register 2142 แทน
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วิธีการนี้คือท่านอาจลืมคืนค่าจาก Register 2142 กลับไปเป็น 2102 ด้วยคำสั่ง Configure-register 0x2102 แล้ว Reload ใหม่ ผลลัพธ์คือหากท่านใช้ Register 2142 ในการจัด Configure จะเกิดปัญหารวนต่าง ๆ ตามมา หรือไม่สามารถเก็บค่า Configure ไว้ได้ตลอด
สรุป หากท่านต้องการเคลียร์ค่า Configure ท่านควรเลือกใช้วิธีการที่ 2 จะปลอดภัยแน่นอนกว่า
ปัญหาการใช้งานสายสัญญาณต่าง ๆ ขณะที่เราเตอร์ยังทำงาน
ปัญหาที่เกิดจากการติดตั้งสายสัญญาณขณะที่เราเตอร์ยังทำงานอยู่จะก่อให้เกิดหายนะต่อพอร์ตต่าง ๆ ของเราเตอร์ได้ โดยมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการถอดเสียบสายสัญญาณต่อไปนี้ขณะที่เราเตอร์ยังเปิดใช้งานอยู่
-สายคอนโซล
-สาย Serial ที่เชื่อมต่อกับโมเด็ม
-สาย BRI ที่เชื่อมต่อระหว่าง BRI Port กับอุปกรณ์ NT1
2. หลีกเลี่ยงการใช้สัญญาณที่ไม่ถูกต้องต่อไปนี้บนพอร์ตของเราเตอร์
- การติดตั้งสาย ISDN บน LAN Port หรือ Console Port ของสวิตช์ สาเหตุเนื่องจากสาย ISDN ที่ต่อเข้ามายัง NT1 ที่ U Port มีแรงดันไฟอยู่ในช่วง 80-90 โวลต์ ขณะที่ Console Port ใช้แรงดันไฟอยู่ที่ 5 โวลต์ และ LAN Port อยู่ที่ 1.4 - 4 โวลต์ ดังนั้นการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องหมายถึงหายนะทางการเงินครั้งใหญ่สำหรับท่าน เพราะค่าเปลี่ยนแผงวงจรของเราเตอร์หากเป็นราคามือหนึ่งไม่น้อยกว่า 10,000 บาทขึ้นไป และมีผู้ประสบปัญหานี้มาแล้ว จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

การเชื่อมต่อสาย LAN เข้าไปที่ Port BRI ของเราเตอร์

ตารางแสดงการเชื่อมต่อสายภายในของคอนโซล
- การติดตั้งสาย ISDN บน LAN Port หรือ Console Port ของสวิตช์ สาเหตุเนื่องจากสาย ISDN ที่ต่อเข้ามายัง NT1 ที่ U Port มีแรงดันไฟอยู่ในช่วง 80-90 โวลต์ ขณะที่ Console Port ใช้แรงดันไฟอยู่ที่ 5 โวลต์ และ LAN Port อยู่ที่ 1.4 - 4 โวลต์ ดังนั้นการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องหมายถึงหายนะทางการเงินครั้งใหญ่สำหรับท่าน เพราะค่าเปลี่ยนแผงวงจรของเราเตอร์หากเป็นราคามือหนึ่งไม่น้อยกว่า 10,000 บาทขึ้นไป และมีผู้ประสบปัญหานี้มาแล้ว จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
ปัญหาเกี่ยวกับการจัด Configure Routing
ปัญหาการจัด Configure Routing ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อย สามารถแยกออกเป็นข้อ ๆ ได้เช่นกันดังนี้
- ปัญหาการชี้ Gateway : การชี้ Gateway ของเราเตอร์เป็นการกำหนดให้เครือข่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือจากที่อื่น ๆ สามารถเข้ามาติดต่อเครือข่ายภายในได้ การชี้ Gateway จะต้องเกิดขึ้นทั้งสองทาง หมายความว่าเราเตอร์ 2 ตัวที่เชื่อมต่อกันโดยตรงจะต้องอ้างอิง Gateway ของกันและกัน เพื่อให้สามารถไปมาหาสู่กันได้ ซึ่งเลขหมาย Gateway ของเราเตอร์ก็คือเบอร์ IP Address ของ Serial Port ของเราเตอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
- ปัญหาเกี่ยวกับ Routing : ปัญหาเกี่ยวกับ Routing ได้แก่ปัญหาที่นอกจากจะเกี่ยวกับการอ้างอิง Gateway แล้ว ยังเป็นเรื่องของการอ้างอิงเส้นทางที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเราเตอร์โดยตรง หากเป็นการใช้ Static Route (ดูรูปที่ 21) เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ตามปกติ เราเตอร์จะต้องอ้างอิงเส้นทางทั้งหมดที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับมันโดยตรง ไม่เพียงเท่านั้นทั้งเครือข่ายและเราเตอร์ปลายทางที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเราเตอร์นี้โดยตรงจะต้องอ้างอิงเส้นทางที่จะมาหาเราอีกด้วย มิเช่นนั้นจะมีปัญหาการสื่อสารแน่นอน

สมมติว่าเครือข่าย 192.168.10.0 ที่ดูแลโดย Router A เชื่อมต่อโดยตรงกับ Router B ดังนั้น Gateway ของ Router A ได้แก่ 192.168.20.2 ขณะเดียวกัน Gateway ของ Router B ได้แก่ 192.168.20.1 และ 192.168.25.2 ซึ่งเป็น Serial Port ของ Router C
หากผู้คนในเครือข่าย 192.168.10.0 ต้องการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่าย 192.168.50.0 ตัว Router A จะต้องทำอย่างไร?
ประการแรก Router A จะต้องมองหา Gateway ก่อน จากนั้นจะต้องอ้างอิงเส้นทางที่เชื่อมต่อกันระหว่าง Router B กับ Router C ซึ่งเป็นเครือข่าย 192.168.25.0 จากนั้นจึงส่งแพ็กเก็ตที่ผ่านการ Encapsulation เป็นที่เรียบร้อยแล้วออกไปที่ Router B โดยมีปลายทางอยู่ที่เครือข่าย 192.168.50.0
เมื่อ Router B ได้รับแพ็กเก็ตแล้ว Router B จะทำการตรวจสอบแพ็กเก็ต และพบว่ามีปลายทางอยู่ที่ 192.168.50.0 และมีการอ้างอิงเส้นทาง 192.168.25.0 และเส้นทางนี้มีสถานะพร้อมทำงาน จึงส่งแพ็กเก็ตออกไปในที่สุด
- ปัญหาการชี้ Default Gateway : สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการออกไปจากเครือข่ายเพื่อติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครือข่ายจะต้องหาประตูทางออกให้พบเสียก่อน นั่นคือ เบอร์ IP ที่เป็น Default Gateway ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์เองสามารถตรวจพบได้จากตาราง Routing Table ซึ่งกำหนดขึ้นโดยผู้ดูแลเครือข่ายหรือเจ้าของคอมพิวเตอร์นั้น ๆ การไม่อ้าง Default Gateway หรือระบุเลขหมาย IP ที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้ไม่สามารถออกไปจากเครือข่ายได้
- ปัญหาการกำหนดเลขหมาย IP ของเครือข่ายภายในกับส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเราเตอร์เป็นเครือข่ายเดียวกันหรือ Subnet เดียวกัน : การใช้เลขหมาย IP สำหรับเครือข่ายภายใน (LAN) กับเครือข่ายระหว่างเราเตอร์เป็นเครือข่ายหรือ Subnet เดียวกันจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นและไม่สามารถใช้งานได้
- ปัญหาการกำหนดเลขหมาย IP ของ Serial บนเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันโดยตรง ไม่อยู่ในเครือข่ายหรือ Subnet เดียวกัน : การกระทำเช่นนี้จะทำให้ไม่สื่อสารระหว่างกันได้เช่นกัน
- การประกาศเครือข่ายที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้กระทำ : สำหรับท่านที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง อย่างเช่น RIP หรือ EIGRP รวมทั้ง IGRP และ OSPF เป็นต้น เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องประกาศเลขหมาย IP ของเครือข่ายที่เราเตอร์ดูแลอยู่ให้เราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันโดยตรงได้รับทราบ รวมทั้งการประกาศเส้นทางที่จะเดินทางมาสู่เราเตอร์ หากไม่กระทำดังกล่าวหรืออ้างเลขหมายที่ไม่ถูกต้องจะไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างแน่นอน
- ปัญหาการใช้เวอร์ชันของโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ต่างกัน : สำหรับท่านที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางที่เรียกว่า RIP ท่านจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นเวอร์ชันเดียวกัน เนื่องจาก RIP เวอร์ชัน 1 กับเวอร์ชัน 2 ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นหากเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่ายจำเป็นต้องใช้ RIP เวอร์ชัน 1 และ 2 ควรถูกจัดตั้งให้สามารถทำงานได้ทั้งเวอร์ชัน 1 และ 2 พร้อมกัน จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
จุดที่อาจผิดพลาดจากการจัด Configure Router สามารถแยกออกเป็นจุดต่าง ๆ ดังนี้
- IP Address ระหว่าง Serial ของเราเตอร์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันโดยตรงไม่ได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
- การอ้างเลขหมาย IP ที่เป็น Gateway ของเราเตอร์ไม่ถูกต้อง
- โปรโตคอลของ WAN ที่ใช้เพื่อ Encapsulation Packet ของเราเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นไม่ตรงกัน เช่น ฝั่งหนึ่งเป็น PPP ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็น HDLC
- หากเชื่อมต่อระหว่างเราเตอร์โดยผ่านโครงข่าย Frame Relay ท่านจะต้อง Encapsulation Packet ให้เป็น Frame Relay เช่นกัน
- ไม่ได้กำหนดคำสั่ง No Shutdown (บนเราเตอร์ของ Cisco)
- ในกรณีที่เราเตอร์ไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยตรง (ต้องผ่านเราเตอร์ตัวอื่น) มีความเป็นไปได้มากที่ไม่ได้อ้างอิงเส้นทางทั้งขาไปและขากลับ
- ลืม Save ค่า Configure ที่ตั้งไว้ใน NVRAM ของเราเตอร์
- ไม่ได้ประกาศเครือข่ายและเส้นทางในกรณีที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางอย่าง RIP, IGRP และ EIGRP เป็นต้น
- มีการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ต่างเวอร์ชันกัน เช่น RIP v1 และ RIP v2
- ในกรณีที่มีการใช้ IGRP หรือ EIGRP เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางมีความเป็นไปได้มากที่ต่างฝ่ายต่างอ้างเลขหมาย AS ที่ต่างกัน
- ในกรณีที่มีการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางอย่าง OSPF มีความเป็นไปได้ที่อ้าง Process ID No. ที่ต่างกัน
- ในกรณีที่กำหนดให้เราเตอร์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันโดยตรง มีการพิสูจน์สิทธิ์ (Authentication) ของกันและกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะมาจากการใช้กุญแจที่แตกต่างกัน
- เกิดผิดพลาดในการกำหนด Access-List ทำให้เกิดการปิดกั้นเครือข่าย
- ในกรณีที่ใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ RIP อาจมีความเป็นไปได้ว่าจำนวนของ Hop ที่เชื่อมต่อกันเกินข้อกำหนดมาตรฐานของ RIP ที่มีได้ไม่เกิน 15 Hop ก็เป็นได้
ที่กล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาผิดพลาดจากการจัดตั้ง Configure Router ที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เมื่อใดก็ตามที่การจัดตั้งเราเตอร์มีปัญหา ท่านสามารถตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ตามตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
OSI Model
OSI Model 7 Layer
OSI Model
OSI Model เป็น medel มาตรฐานในการสื่อสารซึ่งมีวัตถุประสงค์ ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างระบบ 2 ระบบ ระบบจะเปิดการติดต่อสื่อสารในเค้าโครงสำหรับออกแบบ
ระบบเครื่อข่าย จะอนุญาตให้สื่อสารข้ามทุกรูปแบบของระบบคอมพิวเตอร์แยกเป็น 7 ชั้นแต่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นรูปแบบมาตรฐาน ISO
OSI Model ประกอบด้วย 7 Layer
1.Physical Layer
2.Data link Layer
3.Network Layer
4.Transport Layer
5.Sesion Layer
6.Presentation Layer
7.Application Layer


ทั้ง 7 สามารถแบ่งออกได้ 3 กลุ่มย่อย
กลุ่มที่ 1 Network support layer ได้แก่ Layer 1, 2, 3
กลุ่มที่ 2 Link ระหว่าง Network support layer กับ user support layer ได้แก่ layer 4
กลุ่มที่ 3 User support layer ได้แก่ layer 5, 6, 7
Functions of The Layers
Physical Layer
ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย ตัวอย่างของสื่อที่ใช้ได้แก่ Shield Twisted Pair(STP), Unshield Twisted Pair(UTP), Fibre Optic และอื่นๆ
-Physical ติดต่อระหว่างผู้รับ
-การส่งต่อข้อมูล
-สื่อกลาง & สัญญาณ
-เครื่องมือการติดต่อ

OSI Model เป็น medel มาตรฐานในการสื่อสารซึ่งมีวัตถุประสงค์ ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างระบบ 2 ระบบ ระบบจะเปิดการติดต่อสื่อสารในเค้าโครงสำหรับออกแบบ
ระบบเครื่อข่าย จะอนุญาตให้สื่อสารข้ามทุกรูปแบบของระบบคอมพิวเตอร์แยกเป็น 7 ชั้นแต่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นรูปแบบมาตรฐาน ISO
OSI Model ประกอบด้วย 7 Layer
1.Physical Layer
2.Data link Layer
3.Network Layer
4.Transport Layer
5.Sesion Layer
6.Presentation Layer
7.Application Layer


ทั้ง 7 สามารถแบ่งออกได้ 3 กลุ่มย่อย
กลุ่มที่ 1 Network support layer ได้แก่ Layer 1, 2, 3
กลุ่มที่ 2 Link ระหว่าง Network support layer กับ user support layer ได้แก่ layer 4
กลุ่มที่ 3 User support layer ได้แก่ layer 5, 6, 7
Functions of The Layers
Physical Layer
ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย ตัวอย่างของสื่อที่ใช้ได้แก่ Shield Twisted Pair(STP), Unshield Twisted Pair(UTP), Fibre Optic และอื่นๆ
-Physical ติดต่อระหว่างผู้รับ
-การส่งต่อข้อมูล
-สื่อกลาง & สัญญาณ
-เครื่องมือการติดต่อ

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556
โปรโตคอล (Protocol)
โปรโต คอล (Protocol) คือ ระเบียบ พิธี การ ใน การ ติด ต่อ สื่อ สาร เมื่อ มา ใช้กับเทคโนโลยี สื่อ สาร โทรคมนาคม จึง หมาย ถึง ขั้น ตอน การ ติด ต่อ สื่อ สาร ซึ่ง รวม ถึง กฎ ระเบียบ และ ข้อ กำหนด ต่าง ๆ รวม ถึง มาตร ฐาน ที่ ใช้ เพื่อ ให้ ตัว รับ และ ตัว ส่ง สามารถ ดำ เนิน กิจ กรรม ทางด้าน สื่อ สาร ได้ สำเร็จ
การ ทำ งาน ของ ระดับ โปรโต คอลใน LAN
FDDI เป็น LAN อีก ชนิด หนึ่ง ที่ ใช้ เส้น ใย แก้ว นำ แสง เป็น ตัว กลาง มี ความ เร็ว ใน การ รับ ส่ง 100 เมกะ บิตต่อ วินาที รูป แบบ ของ เครือ ข่าย เป็น แบบ วง แหวน การ รับ ส่ง ภาย ใน วง แหวน ใช้ โปรโต คอลแบบ โทเก็นพาสซิ่ ง (Token Passing)
โทเก็นริ ง (Token Ring) ระบบ LAN ที่ ใช้ โครง สร้าง เชื่อม โยง แบบ วง แหวน แต่ ใช้ ตัว กลาง เป็น สาย UTP การ รับ ส่ง สัญญาณ เป็น แบบ Digital Baseband ความ เร็ว ใน การ รับ ส่ง มี ทั้ง แบบ 4 เมกะ บิตต่อ วินาที และ 16 เมกะ บิตต่อวินาที
รูปแบบของเครือยข่าย
เครือข่ายสามารถจำแนกออกได้หลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ เช่น ขนาด ลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยทั่วไปการจำแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่ 3 วิธีคือ
1 LAN (Local Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น
เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างนัก อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน เช่น ภายในมหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน คลังสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง และมีข้อผิดพลาดน้อย ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน
2 MAN (Metropolitan Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับเมือง
เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น การเชื่อมโยงจะต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคาร เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูง เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล
เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้ ในการเชื่อมการติดต่อนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันโดยปกติมีอัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด การส่งข้อมูลอาจใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร เช่น โมเด็ม (Modem) มาช่วย
ความหมายของระบบครือข่าย
ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
| ![]() |
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อ เข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ระหว่าเครื่อง คอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากร ของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น |
ประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
|
1. สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย โดยใช้งานทรัพยากรรวมกัน สามารถทำได้ทั้งที่เป็น ฮาร์ดแวร์ เช่น Printer Scanner หรือ ซอฟท์แวร์ เช่น ซอฟท์แวร์ระบบฐานข้อมูล เป็นต้น 2. สามารถใช้ความสามารถของเครื่องอื่นได้ เช่นถ่ายโอนข้อมูลของเราไปยังเครื่องที่มีความเร็วสูงเพื่อให้ประมวลผล แทนเครื่องของเรา ทำให้งานเสร็จแล้วยิ่งขึ้น 3. สามารถติดต่อคนในเครือข่ายได้ 4. สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร ทำให้การทำงานขององค์กรเป็นไปอย่างมีระบบและต่อเนื่อง |
โทโปโลยี
โทโปโลยีของเครือข่าย (Network Topology) จะอธิบายถึงแผนผังการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ลักษณะทางกายภาพ (Physical Topology) หรือทางตรรกะ (Logical Topology) ซึ่งจะแสดงถึงตำแหน่งของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ และ เส้นทางการเชื่อมต่อของอุปกรณ์เหล่านี้ โทโปโลยีเครือข่ายอาจจะมีผลต่อสมรรถ
นะของเครือข่ายได้ การเลือกโทโปโลยีอาจมีผลต่อประเภทของอุปกร์ที่ใช้ในเครือข่าย สมรรถนะของอุปกรณ์
เหล่านั้น ความสามารถในการขยายของเครือข่าย และวิธีการดู แลและจัดการเครือข่าย
นะของเครือข่ายได้ การเลือกโทโปโลยีอาจมีผลต่อประเภทของอุปกร์ที่ใช้ในเครือข่าย สมรรถนะของอุปกรณ์
เหล่านั้น ความสามารถในการขยายของเครือข่าย และวิธีการดู แลและจัดการเครือข่าย
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โทโปโลยีที่ใช้ต้องสัมพันธ์กับสายสัญญาณ เน็ตเวิร์คการด์ ระบบปฏิบัติการเครือข่าย และ อุปกรณ์ เครือข่ายอื่นๆ ที่จะเชื่อมกันเป็นเครือข่าย การเลือกโทโปโลยีของเครือข่ายต้องมีการวางแผนที่ดี เพราะโทโปโลยีจะมีผลต่อชนิดของสายสัญญาณที่ใช้ รวมถึงลักษณะการเดินสายสัญญาณด้วย โทโปโลยียัง เป็นตัวกำหนดลักษณะการสื่อสารกัน ระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วย ต่างโทโปโลยีกันต้องใช้วิธีการสื่อสารข้อมูลที่ต่างกัน และวิธีการนี้จะมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพ ของเครือข่าย รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายหลักๆ มีดังต่อไปนี้ 1. โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology) เป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุด ลักษณะการทำงานคือ อุปกรณ์ ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า"บัส" (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะ ส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะ ส่งข้อมูลออกไปได้ ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆ ไป เรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นของตนเองหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้ข้อมูลวิ่งผ่านไป แต่หากเลขที่อยู่ปลายทาง ซึ่งกำกับมากับข้อมูลตรงกับเลขที่อยู่ของของตน โหนดนั้นก็จะรับข้อมูลเข้าไป |
![]() |
![]() รูปที่ 39 โทโปโลยีแบบบัส |
![]() |
ข้อดีของโทโปโลยีแบบบัส 1. ใช้สายส่งข้อมูลน้อยและมีรูปแบบที่ง่ายในการติดตั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา 2. สามารถเพิ่มอุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าไปในเครือข่ายได้ง่าย ข้อเสียของโทโปโลยีแบบบัส 1. ในกรณีที่เกิดการเสียหายของสายส่งข้อมูลหลัก จะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้ 2. การตรวจสอบข้อผิดพลาดทำได้ยาก ต้องทำจากหลาย ๆจุด |
![]() |
2. โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารจะถูกส่ง จากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง วนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน (ในระบบเครือข่ายรูปวงแหวนบาง ระบบสามารถส่งข้อมูลได้สองทิศทาง) ในแต่ละโหนดหรือสถานี จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าว สารที่จำเป็นต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไป ให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป |
![]() |
![]() รูปที่ 40 โทโปโลยีรูปวงแหวน |
ข้อดีของโทโปโลยีรูปวงแหวน 1. การส่งข้อมูลสามารถส่งไปยังผู้รับหลาย ๆ โหนดพร้อมกันได้ โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลง ในส่วนหัว ของแพ็กเกจข้อมูล รีพีตเตอร์ของแต่ละโหนดจะตรวจสอบเองว่ามีข้อมูลส่งมาให้ที่โหนดตนเองหรือไม่ 2. การส่งข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล ข้อเสียของโทโปโลยีรูปวงแหวน 1. ถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งเกิดเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังโหนดต่อไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้ง เครือข่ายขาดการติดต่อสื่อสาร 2. เมื่อโหนดหนึ่งต้องการส่งข้อมูล โหนดอื่น ๆ ต้องมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้เสียเวลา |
สายสัญญาณ
สายสัญญาณ
สายโคแอ็กเชียล
สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) เป็นสายสัญญาณประเภทแรกที่ใช้ และเป็นที่นิยมมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัย แรก ๆ แต่ในปัจจุบันสายโคแอ็กซ์ถือได้ว่าเป็นสายที่ล้าสมัยสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังมีระบบ เครือข่ายบางประเภทที่ยังใช้สายประเภทนี้อยู่
สายโคแอกเชียล มีตัวนำไฟฟ้าอยู่สองส่วน คำว่า โคแอ็กซ์ มีความหมายว่า "มีแกนร่วมกัน" โครงสร้างของสาย
ประกอบด้วยสายทองแดงเป็นแกนกลาง แล้วห่อหุ้มด้วยวัสดุที่เป็นฉนวน ชั้นต่อมาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะเป็นแผ่น โลหะบาง ๆ หรืออาจจะเป็นใยโลหะที่ถักเปียปุ้มอีกชั้นหนึ่ง สุดท้ายก็หุ้มด้วยฉนวนและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ


รูปที่ 28 สายโคแอกเชียล

ส่วนแกนเป็นส่วนที่นำสัญญาณข้อมูล ส่วนชั้นใยข่ายเป็นชั้นที่ใช้ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกและเป็นสายดิน ในตัว ดังนั้นสองส่วนนี้ต้องไม่เชื่อมต่อกันมิฉะนั้นอาจเกิดไฟช็อตได้ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่โคแอ็กซ์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็
สามารถแบ่งสายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็น
สายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm เนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้ กับการติดตั้งเครือข่ายเกือบทุกประเภท สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตร ก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลัง ลง บริษัทผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอ็กซ์ สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ใน สายประเภท RG-58 ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่ 50 โอห์ม สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น
2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้าง แข็ง และขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cm สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสาย
สัญญาณประเภทแรกที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต ส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่า ดังนั้นสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำ สัญญาณ ได้ไกลกว่าแบบบาง โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตร ด้วยความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้ ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน (Backbone) ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์
แล้ว โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบน คือ สายใยแก้วนำแสง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไป
หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กเชียล
ทั้งสายแบบบางและแบบหนา จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญ ญาณและเน็ตเวิร์คการ์ด หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบได้แก่ หัวเชื่อมสาย BNC หัวเชื่อมสายรูปตัว T หัวเชื่อมสายแบบ Barrel และตัวสิ้นสุดสัญญาณ
สายคู่บิดเกลียว
สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) เมื่อก่อนเป็นสายสัญญาณที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นมาตรฐานสาย สัญญาณที่เชื่อมต่อในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) สายคู่บิดเกลียวหนึ่งคู่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.016-0.035 นิ้ว หุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียวเป็นคู่ การบิดเป็นเกลียวของสายแต่ละคู่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยลด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนซึ่งกันและกัน สายคู่บิดเกลียวที่ใช้ในเครือข่ายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. Shielded Twisted Pairs (STP)
สายคู่บิดเกลียวแบบมีส่วนป้องกันสัญญาณรบกวน หรือสายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pairs) มีส่วนที่ เพิ่มขึ้นมาคือ ส่วนที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก ซึ่งชั้นป้องกันนี้อาจเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ หรือใยโลหะที่ถักเปียเป็น
ตาข่าย ซึ่งชี้นป้องกันนี้จะห่อหุ้มสายคู่บิดเกลียวทั้งหมด ซึ่งจุดประสงค์ของการเพิ่มขั้นห่อหุ้มนี้เพื่อป้องกันการรบกวนจาก
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลื่นวิทยุจากแหล่งต่าง ๆ

รูปที่ 30 สาย STP

2. Unshielded Twisted Pairs (UTP)
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีส่วนป้องกันสัญญารรบกวนหรือ UTP (Unshielded Twisted Pairs) เป็นสายสัญญาณที่นิยม เรียกสั้น ๆ ว่าสาย UTP เป็นสายสัญญาณที่นิยมใช้กันมากที่สุดในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ซึ่งการใช้สายนี้ความยาว ต้องไม่เกิน 100 เมตร


รูปที่ 31 สาย UTP
สายใยแก้วนำแสง
โครงสร้างของใยแก้วนำแสง
ส่วนประกอบของใยแก้วนำแสงประกอบด้วยส่วนสำคัญคือ ส่วนที่เป็นแกน (Core) ซึ่งจะอยู่ตรงกลางหรือชั้นในแล้ว หุ้มด้วยส่วนห่อหุ้ม (Cladding) แล้วถูกหุ้มด้วยส่วนป้องกัน (Coating) อีกชั้นหนึ่ง โดยที่แต่ละส่วนนั้นทำด้วยวัสดุที่มีค่าดัชนี
หักเหของแสงต่างกัน ทั้งนี้ก็เพราะต้องคำนึงถึงหลักการหักเหและสะท้อนกลับหมดของแสง ส่วนที่เหลือก็จะเป็นส่วนที่ช่วยใน
การติดตั้งสายสัญญาณได้ง่ายขึ้น เช่น Strengthening Fiberก็เป็นส่วนที่ป้องกันไม่ให้สายไฟเบอร์ขาดเมื่อมีการดึงสายในตอนที่
ติดตั้งสายสัญญาณ
1. แกน (Core) เป็นส่วนตรงกลางของเส้นใยแก้วนำแสง และเป็นส่วนนำแสง โดยดัชนีหักเหของแสงส่วนนี้ต้องมาก กว่าส่วนของแคลดลำแสง ที่ผ่านไปในแกนจะถูกขังหรือเคลื่อนที่ไปตามแกนของเส้นใยแก้วนำแสงด้วยกระบวนการสะท้อน กลับหมดภายใน
2. ส่วนห่อหุ้ม (Cladding) เป็นส่วนที่ห่อหุ้มส่วนของแกนเอาไว้ โดยส่วนนี้จะมีดัชนีหักเหน้อยกว่าส่วนของแกน เพื่อ ให้แสงที่เดินทางภายในแกนสะท้อนอยู่ภายในแกนตามกฎของการสะท้อนด้วยการสะท้อนกลับหมด โดยใช้หลักของมุมวิกฤติ
3. ส่วนป้องกัน (Coating/Buffer) เป็นชั้นที่ต่อจากแคลดเป็นที่กันแสงจากภายนอกเข้าเส้นใยแก้วนำแสงและยังใช้
์เมื่อมีการเชื่อมต่อเส้นใยแก้วนำแสงโครงสร้างอาจจะประกอบไปด้วยชั้นของพลาสติกหลายๆ ชั้น นอกจากนั้นส่วนป้อง กันยังทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันจากแรงกระทำภายนอกอีกแล้ว ตัวอย่างของค่าดัชนีหักเห เช่น แกนมีค่า ดัชนีหักเหประมาณ 1.48 ส่วนของแคลดและส่วนป้องกันซึ่งทำหน้าที่ป้องกันแสงจากแกนออกไปภายนอกและป้องกันแสงภายนอกรบกวน จะมีค่าดัชนี
หักเหเป็น 1.46 และ 1.52 ตามลำดับ


รูปที่ 33 แสดงโครงสร้างภายในของ Fiber Optic

ประเภทของสายใยแก้วนำแสง
ภายใน Fiber Optic นั้น จำนวนของลำแสงที่เดินทางหรือเกิดขึ้นจะเป็นตัวบอก Mode ของแสงที่เดินทางภายใน Fiber
Optic นั้นๆ กล่าวคือ ถ้ามีแนวของลำแสงอยู่ในแนวเดียว เรียกว่า Single Mode Fiber Optic (SMF) แต่ถ้าหากภายใน Fiber Optic นั้น
มีแนวของลำแสงอยู่เป็นจำนวนมาก เราเรียกว่า Multi-Mode Fiber Optic (MMF)
1. Single Mode Fiber Optic มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนและ Cladding ประมาณ 5-10 และ 125 ไมครอน
ตามลำดับ ซึ่งส่วนของแกนมีขนาดเล็กกว่า Fiber Optic ชนิด Multi-mode มาก และให้แสงออกมาเพียง Mode เดียว
2. Multimode Fiber Optic ส่วนใหญ่มีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนและ Cladding โดยประมาณ 50 ไมครอน
62.5 ไมครอน โดยมี Cladding ขนาด 125 ไมครอน เนื่องจากขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนมีขนาดใหญ่ ดังนั้นแสงที่
ตกกระทบที่ด้านปลาย Input ของสาย Fiber Optic จะมีมุมตกกระทบที่แตกต่างกันหลายค่า และจากหลักการสะท้อนแสงกลับ
หมดของแสงที่เกิดขึ้น ภายในส่วนของแกนทำให้มีแนวของลำแสงเกิดขึ้นหลาย Mode โดยแต่ละ Mode ใช้ระยะเวลาในการ
เดินทางที่แตกต่างกัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแตกกระจายของแสง (Mode Dispersion) Multimode Fiber Optic มี 2 แบบ
ได้แก่ Step Index และ Grade Index
สายโคแอกเชียล มีตัวนำไฟฟ้าอยู่สองส่วน คำว่า โคแอ็กซ์ มีความหมายว่า "มีแกนร่วมกัน" โครงสร้างของสาย
ประกอบด้วยสายทองแดงเป็นแกนกลาง แล้วห่อหุ้มด้วยวัสดุที่เป็นฉนวน ชั้นต่อมาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะเป็นแผ่น โลหะบาง ๆ หรืออาจจะเป็นใยโลหะที่ถักเปียปุ้มอีกชั้นหนึ่ง สุดท้ายก็หุ้มด้วยฉนวนและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ


รูปที่ 28 สายโคแอกเชียล

สามารถแบ่งสายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable หรือ Thinnet Cable) เป็น
สายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm เนื่องจากสายประเภทนี้มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้ กับการติดตั้งเครือข่ายเกือบทุกประเภท สายประเภทนี้สามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 185 เมตร ก่อนที่สัญญาณจะเริ่มอ่อนกำลัง ลง บริษัทผู้ผลิตสายโคแอ็กซ์ได้ลงความเห็นร่วมกันในการแบ่งประเภทของสายโคแอ็กซ์ สายโคแอ็กซ์แบบบางได้ถูกรวมไว้ใน สายประเภท RG-58 ซึ่งสายประเภทนี้จะมีความต้านทาน (Impedance) ที่ 50 โอห์ม สายประเภทนี้จะมีแกนกลางอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่เป็นสายทองแดงเส้นเดียวและแบบที่เป็นใยโลหะหลายเส้น
2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable) สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thicknet Cable) เป็นสายโคแอ็กซ์ที่ค่อนข้าง แข็ง และขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กซ์แบบบาง โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.27 cm สายโคแอ็กซ์แบบหนานี้เป็นสาย
สัญญาณประเภทแรกที่ใช้กับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต ส่วนแกนกลางที่เป็นสายทองแดงของสายโคแอ็กซ์แบบหนาจะมีขนาดใหญ่กว่า ดังนั้นสายโคแอ็กซ์แบบหนานี้จึงสามารถนำ สัญญาณ ได้ไกลกว่าแบบบาง โดยสามารถนำสัญญาณได้ไกลถึง 500 เมตร ด้วยความสามารถนี้สายโคแอ็กซ์แบบหนาจึงนิยมใช้ ในการเชื่อมต่อเส้นทางหลักของข้อมูล หรือ แบ็คโบน (Backbone) ของเครือข่ายสมัยแรก ๆ แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้สายโคแอ็กซ์
แล้ว โดยสายที่นิยมใช้ทำเป็นแบ็คโบน คือ สายใยแก้วนำแสง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในส่วนต่อไป
หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กเชียล
ทั้งสายแบบบางและแบบหนา จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญ ญาณและเน็ตเวิร์คการ์ด หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบได้แก่ หัวเชื่อมสาย BNC หัวเชื่อมสายรูปตัว T หัวเชื่อมสายแบบ Barrel และตัวสิ้นสุดสัญญาณ
สายคู่บิดเกลียว
สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) เมื่อก่อนเป็นสายสัญญาณที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นมาตรฐานสาย สัญญาณที่เชื่อมต่อในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) สายคู่บิดเกลียวหนึ่งคู่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.016-0.035 นิ้ว หุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียวเป็นคู่ การบิดเป็นเกลียวของสายแต่ละคู่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยลด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนซึ่งกันและกัน สายคู่บิดเกลียวที่ใช้ในเครือข่ายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. Shielded Twisted Pairs (STP) สายคู่บิดเกลียวแบบมีส่วนป้องกันสัญญาณรบกวน หรือสายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pairs) มีส่วนที่ เพิ่มขึ้นมาคือ ส่วนที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก ซึ่งชั้นป้องกันนี้อาจเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ หรือใยโลหะที่ถักเปียเป็น ตาข่าย ซึ่งชี้นป้องกันนี้จะห่อหุ้มสายคู่บิดเกลียวทั้งหมด ซึ่งจุดประสงค์ของการเพิ่มขั้นห่อหุ้มนี้เพื่อป้องกันการรบกวนจาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลื่นวิทยุจากแหล่งต่าง ๆ | |||||
![]() | |||||
![]() | |||||
![]() | |||||
2. Unshielded Twisted Pairs (UTP) สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีส่วนป้องกันสัญญารรบกวนหรือ UTP (Unshielded Twisted Pairs) เป็นสายสัญญาณที่นิยม เรียกสั้น ๆ ว่าสาย UTP เป็นสายสัญญาณที่นิยมใช้กันมากที่สุดในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ซึ่งการใช้สายนี้ความยาว ต้องไม่เกิน 100 เมตร | |||||
![]() | |||||
![]() รูปที่ 31 สาย UTP
สายใยแก้วนำแสง
|
แชร์ไฟล์ระหว่าง Windows 7 กับ Windows 7
1. ผมใช้คำสั่ง ipconfig เพื่อนเป็นการดู ip address นะครับ
วิธีการใช้ก็เปิด cmd ขึ้นมา จากนั้น พิมพ์ ipconfig เพื่อดู IP
ในตัวอย่างผมทำเครื่องที่สองของผม มันก็จะได้ ip ดังกล่าวคือ 192.168.1.102

2. ในข้อนี้ผมอยู่เครื่องแรกนะครับ
ตอนนี้ผมอยู่เครื่องแรก ผมจะ Ping ไปเครื่องที่สองนะครับผมเปิด cmd และใช้คำสั่ง Ping ไปยังเครื่องที่สอง
ลองping ดูปรากฎว่า Ping ไม่ได้ ยังงี้แปลว่ายังติดพวก firewall อยู่ครับ

3. ตอนนี้ผมอยู่เครื่องที่สองแล้วนะครับ ผมจะไปเปิด filewall ในส่วนของ sharefile
Start > control panel

4. เลือก Windows Firewall

5. เลือก Allow a program or feature through windows firewall

6. จากนั้นให้ติ๊กถูกในช่องของ file and Printer sharing ในส่วนทั้ง Home/work , Public > กด OK
ถ้าเลือกไม่ได้ให้กดที่ change setting ก่อนนะครับ

7. หลังจากนั้นกลับมาคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และทดสอบการ Ping ไปยังเครื่้องสองอีกครั้ง
ปรากฎว่าสามารถ Ping ได้แล้วครับ เย้ๆๆๆ

8. กลับมาเครื่องที่สองอีกครั้ง
Start > contral panel > Choose homegroup and shareing options

9. จากนั้นเลือก change advance sharing setting

10. ให้เราเลือก Public เพราะดูจาก (Curent profile) อยู่หลังอันไหนก็แปลว่ามันใช้ profile อันนั้นแหละครับ
ในรูปของผมใช้ Public ผมก็มาแก้ Public
โดยให้ปรับตามภาพที่ผม Hilight ไว้เลยนะครับ หลังจากนั้นกด Save นะครับ และกด OK



11. ตอนนี้ผมอยู่เครื่องที่สอง
ให้เราสร้าง folder ที่เราต้องการแชร์ขึ้นมา 1 folder > คลิกขวาที่ folder นั้น Properties

จากนั้นจะเป็นการแชร์ไฟล์ใน folder แล้วนะครับ
(1) กดAdvance sharing
(2) ให้ติ๊กถูก share this folder
(3) กด Permission
(4) จะเห็น Everyone จากนั้นให้ติ๊กเป็น Full ตามภาพเลยครับ
จากนั้นก็กด Ok

12. ยังอยู่ที่เครื่องที่สองนะ
จากนั้นก็กด Share ต่อ

จากนั้นให้ พิมพ์ everyone ลงไปแล้วกด Add

จากนั้นในช่อง user Everyone ให้เลือกเป็น Read/Write และกด share

จากนั้นเราก็สามารถแชร์ folder ได้แล้วครับ แล้วกด Done
จากนั้นเราก็จะได้ folder windows7_2 ที่เปิดแชร์ไว้บนคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองแล้วครับ

13. ตอนนี้ผมมาอยู่เครื่องแรกนะ
เปิด start > run > และพิมพ์ \\192.168.1.102\windows7_2
คำสั่ง >>> \\ชื่อคอมพิวเตอร์หรือipก็ได้\folder ที่แชร์

14. ตอนนี้ผมมาอยู่เครื่องแรกนะ
จากนั้นก็สามารถเข้าเครื่องที่สองได้เลยครับและก็เห็น folder ที่แชร์ไว้ด้วย

แค่นี้เราก็สามารถแชร์ไฟล์windows7 กับ windows 7 ได้แล้วครับ Quote
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)