วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชนิดของไมโครโฟน


ชนิดของไมโครโฟน ที่แบ่งตามลักษณะการใช้งาน มี 5 ชนิด คือ


              1. แบบตั้งพื้นหรือตั้งโต๊ะ เป็นไมโครโฟนที่มาประกอบกับขาตั้งที่ทำมาเพื่อเสียบไมโครโฟนได้ เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ต้องใช้มือถือไมโครโฟนไว้ตลอดเวลาที่พูดผู้พูดยืนหรือนั่งห่างจากไมโครโฟนไม่มาก



              2. แบบมือถือ มีลักษณะยาว สามารถถือได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับนักร้อง นักแสดงตลก หรือรายการสนทนาที่มีการสัมภาษณ์ไม่ยาวนัก


 
              3. แบบหนีบติดเสื้อ หรือแบบห้อยคอ เป็นแบบที่นิยมใช้ในการแสดง เช่นการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ทำให้ผู้แสดงไม่ต้องถือไมโครโฟนไว้ตลอดเวลา ไมโครโฟนประเภทนี้มีขนาดเล็กมาก สามารถซ่อนได้อย่างมิดชิด


              4. แบบติดแขนยาว (Boom Microphone) เป็นไมโครโฟนที่เหมาะกับการใช้ในการแสดงอีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากผู้แสดงไม่ต้องถือไมโครโฟน คือ จะมีแขนยาวยื่นมาจนเกือบถึงผู้แสดง ทำให้สามารถตัดภาพไม่ให้มองเห็นกล้องถ่ายวีดิทัศน์ได้

               5. แบบไม่มีสาย (Wireless Microphone) หรือที่เรียกกันติดปากว่า ไมค์ลอย นั่นเอง ไมโครโฟนชนิดนี้จะบรรจุเครื่องส่งวิทยุขนาดเล็กสามารถส่งคลื่นได้ในระยะหนึ่ง โดยอาศัยการส่งตามคลื่นของระบบ F.M. คือช่วงคลื่นระหว่าง 88 - 108 เมกกะเฮิร์ตช์ ดังนั้นเวลารับคลื่นจึงต้องอาศัยเครื่องรับที่มีคลื่นเดียวกับระบบ F.M. นั่นเอง


  
             เพื่อให้ไมโครโฟนสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ในระบบขยายเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรต้องทราบข้อมูลของไมโครโฟนที่จะนำมาใช้ดังนี้ คือ 
            1. อิมพีแดนซ์ (Impedance) หมายถึงตัวเลขที่บอกค่าความต้านทานของไมโครโฟนที่เกิดขี้นขณะที่มีสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง หรือกระแสสลับไหลผ่านมีหน่วยเป็นโอห์ม แบ่งเป็น 2 พวก คือ
                 1.1 อิมพีแดนซ์สูง หรือมีค่าความต้านทานสูง (High Impedance) จะมีค่าอยู่ในช่วง 5,10,50 หรืออาจถึง 100 กิโลโอห์ม (KQ) จะให้กำลังใจของสัญญาณออกมาต่ำ (Low Power Output) มีเสียงรบกวนได้ง่าย เช่นเสียงฮัม ยิ่งถ้าต่อสายยาว ๆ หรือเกินกว่า 25 ฟุต ก็ยิ่งทำให้สูญเสียกำลังของสัญญาณมากขึ้น คุณภาพของเสียงจะลดลงด้วย ใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงโดยต่อช่องที่ช่อง High                  1.2 อิมพีแดนซ์ต่ำหรือมีค่าความต้านทานต่ำ(Low Impedance) มีค่าอิมพีแดนซ์อยู่ในช่วง 200 ถึง 600 โอห์มซึ่งมีคุณภาพดีให้กำลังของสัญญาณออกสูง (High Power Output) ไม่มีเสียงรบกวนสามารถใช้กับสายยาว ๆ ได้แต่จะมีความไวในการรับเสียงต่ำใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงที่ช่อง Low Impedance
            2. ผลในการตอบสนองความถีของเสียง (Frequency Response) คือความสามารถของไมโครโฟนในการรบความถี่ของคลื่นเสียงได้กว้างและมีความเรียบมากน้อย ซึ่งไมโครโฟนแต่ละชนิดก็จะออกแบบมาเพื่อใช้ในลักษณะงานต่าง ๆ กัน ฉะนั้น จึงมีความสามารถในการตอบสนองความถี่ต่าง ๆกัน มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hertz: Hz) เช่น ไมโครโฟน สำหรับพูดในที่ชุมนุมชน ประกาศ สั่งงาน การเรียนการสอนในห้องเรียน จะใช้ช่วงการตอบสนองความถี่ต่ำ ๆ และแคบ ๆ ก็พอ เช่น 300-5,000 เฮิรตซ์ แต่ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงเรียบและแยกความถี่ได้กว้างขึ้น ควรอยู่ในช่วง 70-10,000 เฮิรตซ์ ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงที่ดีเยี่ยมนอกจากเสียงพูดแล้ว ยังมีเสียงดนตรีด้วย ควรต้องใช้ไมโครโฟนที่ให้ผลตอบสนองความถี่ที่กว้างและเก็บความถี่ได้ละเอียดยิ่งขึ้น ควรอยู่ในช่วง 50-15,000 เฮิรตซ์ แต่ราคาก็จะค่อนข้างแพงตามคุณภาพไปด้วย
            3. ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟน(Sensitivity) คือความสามารถในการรับความแรงของคลื่นเสียงที่มาจากแหล่งกำเนิดเสียงจากระยะทางใกล้ไกลต่าง ๆ กัน นั่นเองไมโครโฟนที่มีความไวสูงจะสามารถรับเสียงเบา ๆ และอยู่ไกลออกไปได้ไมโครโฟนความไวต่ำ ต้องป้อนคลื่นเสียงดัง ๆ และใกล้ ๆ มีหน่วยเป็น เดซิเบล (Decibel: dB) โดยวัดจากสัญญาณที่ได้ออกจากไมโครโฟนผ่านไปเข้าเครื่องขยายเสียง เช่น -90 dB -60dB -45dB เป็นต้น ค่าติดลบมาก จะมีความไวกว่า ค่าติดลบน้อย เช่น -90dB มีความไวต่ำกว่า -60dB เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น