วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไมโครโฟน Microphone



ไมโครโฟน Microphone


    หรือ เรียกกันแบบย่อว่า ไมค์ (Mic.) คือ อุปกรณ์ แปลงพลังคลื่นเสียง ให้กลายเป็นคลื่นสัญญาณไฟฟ้า โดยมีจุดกำเนิดจากการคิดวิธีส่งสัญญาณโทรศัพท์     ไมโครโฟนได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆมากมาย ทั้งด้านการสื่อสาร, การบันทึกเสียง, ระบบคาราโอเกะ, เครื่องช่วยฟัง, อุตสาหกรรมภาพยนต์, การแสดงสดและการบันทึกเสียง หรืองานของวิศวกรด้านเสียง(Audio Engineering), โทรโข่ง, งานกระจายเสียงและแพร่ภาพทางวิทยุและโทรทัศน์ , งานมัลติมีเดีย บน คอมพิวเตอร์, การรับคำสั่งเสียงในอุปกรณ์ IT, การส่งสัญญาณเสียงบนสื่ออินเทอร์เน็ต (VoIP) หรือ งานเสียงที่อยู่นอกเหนือการได้ยิน เช่น การตรวจสอบด้วยอุลตร้าซาวด์ หรือ การตรวจจับการสั่นสะเทือน     ไมโครโฟนมีการออกแบบหลากหลายตามการใช้งาน โดยส่วนใหญ่ที่ใช้งานในปัจจุบัน จะเป็นแบบทำงานด้วยการเหนี่ยวนำของคลื่นแม่เหล้กไฟฟ้า หรือไดนามิค ไมโครโฟน (Dynamic microphone)แบบการเปลี่ยนแปลงค่าประจุไฟฟ้า หรือ คอนเดนเซอร์ ไมโครโฟน (Condenser microphone) นอกจากนั้นยังมีแบบ Piezoelectric generation หรือ light modulation     โดยทุกแบบล้วนมีจุดประสงค์เพื่อสร้างสัญญาณเสียง ตามการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้า (electrical voltage signal) จากการสั่นสะเทือนเชิงกล (Machanical vibration) ซึ่งมาจากพลังเสียงที่ไมค์ได้รับเข้าไปนั่นเอง
ไมโครโฟนคืออะไร

         ความหมายของไมโครโฟน ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า การออกแบบไมโครโฟนที่ดี จะต้องสามารถเปลี่ยนพลังเสียงได้ดี ตลอดย่านความถี่เสียง ซึ่งมีความจำกัดมาก จึงมีเทคโนโลยีหลายอย่าง้กิดขึ้นเพื่อให้ได้สัญญาณสียง ที่ดีเหมือนต้นกำเนิดเสียง ดังนั้น จึงมีไมโครโฟนหลายชนิดที่มีคุณลักษณะไม่เหมือนกัน

ไมค์คาร์บอน ( Carbon Microphone )


ไมค์คาร์บอน ( Carbon Microphone )

         ไมค์คาร์บอน เป็นไมโครโฟนสมัยแรกแห่งวงการเครื่องเสียง อาศัยหลักการความต้านทานของคาร์บอนเปลี่ยนค่าได้ คือ เมื่อคาร์บอนมีความหนาแน่นมากจะมีความต้านทานน้อย ทำให้กระแสไหลมาก และถ้าความหนาแน่นน้อย จะเกิดความต้านทานมาก ทำให้กระแสไหลน้อย เมื่อนำมายึดติดกับไดอะแฟรม จะทำให้เกิดการสั่นไหวเมื่อมีคลื่นอากาศเสียง ทำให้ความต้านทานเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามคลื่นเสียง ถ้ามีการป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไป จะทำให้ได้สัญญาณเสียงออกมา เป็นกระแสไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามความต้านทาน คุณภาพเสียงที่ได้จะอยู่ในช่วงความถี่ต่ำ ปัจจุบันไม่พบเห็นในการใช้งานมากนัก แต่ก็ยังมีใช้ในเครื่องโทรศัพท์อยู่บาง


ไมค์คาร์บอน ( Carbon Microphone )

ไมโครโฟนชนิดคริสตัล (Crystal Microphone)

ไมโครโฟนชนิดคริสตัล (Crystal Microphone)


         ไมโครโฟนชนิดคริสตัล (Crystal Microphone) ไมโครโฟนที่มีราคาถูก น้ำหนักเบาแต่ไม่ทนต่อสภาพความร้อน หรือความชื้นสูง เพราะอาจทำให้คริสตัลเสื่อมได้ ไมโครโฟนแบบนี้ให้กำลังไฟฟ้าออกมาสูง และสามารถสภาพสัญญาณได้ดีจึงไม่ต้องอาศัยหม้อแปลง (Transformer) ในตัวของไมโครโฟนช่วยแต่อย่างใด สามารถส่งสัญญาณไปยังเครื่องขยายเสียงได้โดยตรง สามารถใช้สายไมโครโฟนต่อยาวออกไปได้ไม่เกิน 25 ฟุต เพราะถ้าพ่วงสายยาวกว่านี้จะทำให้มีสัญญาณอื่นมารบกวนได้และทำให้สัญญาณจากไมโครโฟนอ่อนลงมาก


วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไมค์เซอร์รามิค ( Ceramic Microphone )


ไมค์เซอร์รามิค ( Ceramic Microphone )



         ไมโครโฟนชนิดเซรามิค (Ceramic Microphone) มีลักษณะการออกแบบหรือหลักการทำงานคล้ายกับไมโครโฟนชนิดคริสตัล ต่างกันที่วัสดุเซรามิคมีคุณภาพดีกว่าคริสตัล เพราะทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นมากกว่าปัจจุบันไม่พบเห็นใช้งานแล้ว มีลักษณะเหมือนกับคาร์บอนแต่วัสดุที่ใช้ต่างกัน คือ โครงสร้างประกอบด้วย ดังนี้
  • Diaphragm รับเสียง
  • Ceramic กำเนิดไฟฟ้า
  • แผ่น Back plate รองรับประกบด้านหลัง
  • สายต่อนำกระแสไฟฟ้าสัญญาณเสียง


วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไมค์คอนเดนเซอร์ ( Condensor Microphone )


 ไมค์คอนเดนเซอร์ ( Condensor Microphone )


         ไมโครโฟนชนิดคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) เป็นไมโครโฟนที่กำลังนิยมใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถรับเสียงได้ไวมาก มีราคาแพงและมักติดอยู่กับเครื่องบันทึกเสียงทั่ว ๆ ไปมีโครสร้างประกอบด้วย ดังนี้
  • แบตเตอรี่ ( Battery )
  • ไดอะแฟรม ( Diaphragm )
  • Back plate
  • วงจรขยายสัญญาณ ( Amplifier )


วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไมโครโฟนชนิดริบบอน (Ribbon or Velocity Microphone)

 ไมโครโฟนชนิดริบบอน (Ribbon or Velocity Microphone) 


            ไมโครโฟนชนิดริบบอน (Ribbon or Velocity Microphone)เป็นไมโครโฟนที่บอบบาง เสียง่ายไม่มีไดอะแฟรม การทำงานอาศัยการสั่นสะเทือนของแผ่นริบบอน มีลักษณะบางเบา และขึงตึงอยู่ระหว่างแม่เหล็กถาวรกำลังสูงและจะทำงานทันทีเมื่อได้รับการสั่นสะเทือนเป็นไมโครโฟนที่มีคุณภาพสูงและควบคุมสัญญาณได้ดีที่สุด (Highest Fidelity) แต่ไม่ค่อยนิยมใช้กันมาก เพราะมีข้อเสียคือ ไม่เหมาะต่องานสถานที่ แม้แต่เสียงลมพัดก็จะรับเสียงเอาไว้หมดอาจแก้ได้โดยใช้วัสดุกันลม เป็นกระบอกฟองน้ำสวมครอบแต่ก็ไม่ได้ผลนัก นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีก เช่น สัญญาณไฟฟ้าที่ได้ออกมาค่อนข้างต่ำ (Low Output) ต้องใช้เครื่องขยายเสียงที่มีกำลังแรง และ คุณภาพสูง ถ้าพูดใกล้มาก เสียงลมหายใจจะกลบเสียงที่พูด ไมโครโฟนชนิดนี้ไม่นิยมใช้นอกสถานที่ มักพบในสถานีส่งวิทยุ โทรทัศน์และบันทึกเสียง




วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไมค์ไดนามิค ( Dynamic Microphon )


ไมค์ไดนามิค ( Dynamic Microphon )


 ไมโครโฟนชนิดไดนามิค (Dynamic Microphone) เป็นแบบที่ได้รับนิยมมากเพราะให้คุณภาพเสียงดีเหมือนธรรมชาติ มีความทนทานเหมาะสมกับการกระจายเสียงหรือระบบเสียงหลายประเภท แต่ราคาค่อนข้างสูงมีโครงสร้างประกอบด้วย ดังนี้
  • แม่เหล็กถาวร ( magnet ) 
  • ไดอะแฟรม ( Diaphragm )
  • ขดลวด ( Coil )



วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชนิดของไมโครโฟน


ชนิดของไมโครโฟน ที่แบ่งตามลักษณะการใช้งาน มี 5 ชนิด คือ


              1. แบบตั้งพื้นหรือตั้งโต๊ะ เป็นไมโครโฟนที่มาประกอบกับขาตั้งที่ทำมาเพื่อเสียบไมโครโฟนได้ เพื่อให้ผู้ใช้ไม่ต้องใช้มือถือไมโครโฟนไว้ตลอดเวลาที่พูดผู้พูดยืนหรือนั่งห่างจากไมโครโฟนไม่มาก



              2. แบบมือถือ มีลักษณะยาว สามารถถือได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับนักร้อง นักแสดงตลก หรือรายการสนทนาที่มีการสัมภาษณ์ไม่ยาวนัก


 
              3. แบบหนีบติดเสื้อ หรือแบบห้อยคอ เป็นแบบที่นิยมใช้ในการแสดง เช่นการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ทำให้ผู้แสดงไม่ต้องถือไมโครโฟนไว้ตลอดเวลา ไมโครโฟนประเภทนี้มีขนาดเล็กมาก สามารถซ่อนได้อย่างมิดชิด


              4. แบบติดแขนยาว (Boom Microphone) เป็นไมโครโฟนที่เหมาะกับการใช้ในการแสดงอีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากผู้แสดงไม่ต้องถือไมโครโฟน คือ จะมีแขนยาวยื่นมาจนเกือบถึงผู้แสดง ทำให้สามารถตัดภาพไม่ให้มองเห็นกล้องถ่ายวีดิทัศน์ได้

               5. แบบไม่มีสาย (Wireless Microphone) หรือที่เรียกกันติดปากว่า ไมค์ลอย นั่นเอง ไมโครโฟนชนิดนี้จะบรรจุเครื่องส่งวิทยุขนาดเล็กสามารถส่งคลื่นได้ในระยะหนึ่ง โดยอาศัยการส่งตามคลื่นของระบบ F.M. คือช่วงคลื่นระหว่าง 88 - 108 เมกกะเฮิร์ตช์ ดังนั้นเวลารับคลื่นจึงต้องอาศัยเครื่องรับที่มีคลื่นเดียวกับระบบ F.M. นั่นเอง


  
             เพื่อให้ไมโครโฟนสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ในระบบขยายเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรต้องทราบข้อมูลของไมโครโฟนที่จะนำมาใช้ดังนี้ คือ 
            1. อิมพีแดนซ์ (Impedance) หมายถึงตัวเลขที่บอกค่าความต้านทานของไมโครโฟนที่เกิดขี้นขณะที่มีสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง หรือกระแสสลับไหลผ่านมีหน่วยเป็นโอห์ม แบ่งเป็น 2 พวก คือ
                 1.1 อิมพีแดนซ์สูง หรือมีค่าความต้านทานสูง (High Impedance) จะมีค่าอยู่ในช่วง 5,10,50 หรืออาจถึง 100 กิโลโอห์ม (KQ) จะให้กำลังใจของสัญญาณออกมาต่ำ (Low Power Output) มีเสียงรบกวนได้ง่าย เช่นเสียงฮัม ยิ่งถ้าต่อสายยาว ๆ หรือเกินกว่า 25 ฟุต ก็ยิ่งทำให้สูญเสียกำลังของสัญญาณมากขึ้น คุณภาพของเสียงจะลดลงด้วย ใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงโดยต่อช่องที่ช่อง High                  1.2 อิมพีแดนซ์ต่ำหรือมีค่าความต้านทานต่ำ(Low Impedance) มีค่าอิมพีแดนซ์อยู่ในช่วง 200 ถึง 600 โอห์มซึ่งมีคุณภาพดีให้กำลังของสัญญาณออกสูง (High Power Output) ไม่มีเสียงรบกวนสามารถใช้กับสายยาว ๆ ได้แต่จะมีความไวในการรับเสียงต่ำใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงที่ช่อง Low Impedance
            2. ผลในการตอบสนองความถีของเสียง (Frequency Response) คือความสามารถของไมโครโฟนในการรบความถี่ของคลื่นเสียงได้กว้างและมีความเรียบมากน้อย ซึ่งไมโครโฟนแต่ละชนิดก็จะออกแบบมาเพื่อใช้ในลักษณะงานต่าง ๆ กัน ฉะนั้น จึงมีความสามารถในการตอบสนองความถี่ต่าง ๆกัน มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hertz: Hz) เช่น ไมโครโฟน สำหรับพูดในที่ชุมนุมชน ประกาศ สั่งงาน การเรียนการสอนในห้องเรียน จะใช้ช่วงการตอบสนองความถี่ต่ำ ๆ และแคบ ๆ ก็พอ เช่น 300-5,000 เฮิรตซ์ แต่ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงเรียบและแยกความถี่ได้กว้างขึ้น ควรอยู่ในช่วง 70-10,000 เฮิรตซ์ ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงที่ดีเยี่ยมนอกจากเสียงพูดแล้ว ยังมีเสียงดนตรีด้วย ควรต้องใช้ไมโครโฟนที่ให้ผลตอบสนองความถี่ที่กว้างและเก็บความถี่ได้ละเอียดยิ่งขึ้น ควรอยู่ในช่วง 50-15,000 เฮิรตซ์ แต่ราคาก็จะค่อนข้างแพงตามคุณภาพไปด้วย
            3. ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟน(Sensitivity) คือความสามารถในการรับความแรงของคลื่นเสียงที่มาจากแหล่งกำเนิดเสียงจากระยะทางใกล้ไกลต่าง ๆ กัน นั่นเองไมโครโฟนที่มีความไวสูงจะสามารถรับเสียงเบา ๆ และอยู่ไกลออกไปได้ไมโครโฟนความไวต่ำ ต้องป้อนคลื่นเสียงดัง ๆ และใกล้ ๆ มีหน่วยเป็น เดซิเบล (Decibel: dB) โดยวัดจากสัญญาณที่ได้ออกจากไมโครโฟนผ่านไปเข้าเครื่องขยายเสียง เช่น -90 dB -60dB -45dB เป็นต้น ค่าติดลบมาก จะมีความไวกว่า ค่าติดลบน้อย เช่น -90dB มีความไวต่ำกว่า -60dB เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีใช้และรักษาไมโครโฟน


วิธีใช้และรักษาไมโครโฟน


  • เลือกไมโครโฟนชนิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์โดยพิจารณาทั้งในเรื่องทิศทางการรับเสียง ช่วงการตอบสนองความถี่เสียงความไวในการรับเสียงและลักษณะการใช้งาน
  • ระยะห่างจากไมโครโฟนถึงผู้พูด ถ้าเป็นไมโครโฟนที่มีความไวต่อการรับเสียงมากควรอยู่ห่างประมาณ 4 นิ้ว ถึง 1 ฟุต หากใกล้มากจะทำให้เสียงเพี้ยนหรือฟังไม่รู้เรื่อง
  • อย่าเคาะหรือเป่าไมโครโฟนเป็นอันขาด อาจทำให้ไมโครโฟนขาดชำรุด และระวังอย่าให้ล้มหรือตกหล่นจากที่สูง และระวังอย่าให้ถูกน้ำ
  • อย่าวางสายไมโครโฟนควบคู่หรือใกล้ชิดหรือตัดผ่านกับสายไฟฟ้ากระแสสลับ ( AC. Cord) เพราะจะทำให้มีสัญญาณความถี่ของกระแสไฟฟ้าไปรบกวนสัญญาณเสียง
  • ขณะใช้ไมโครโฟน หากมีเสียงหวีดหรือเสียงหอน อาจเป็นเพราะใช้ไมโครโฟนใกล้กับลำโพงมากเกินไป หรืออาจจะหันด้านหน้าของไมโครโฟนไปตรงกับทิศทางด้านหน้าของลำโพง ทำให้เสียงเกิดการย้อนกลับ (Feedback) ต้องเปลี่ยนตำแหน่งการตั้งไมโครโฟนใหม่ให้ถูกต้อง
  • การใช้ไมโครโฟนนอกสถานที่หรือกลางแจ้งมักจะมีเสียงรบกวนจากลมพัดและเสียงรอบข้างมาก โดยเฉพาะไมโครโฟนที่มีความไวในการรับเสียงสูง ควรใช้อุปกรณ์กันเสียงรบกวน (Wind Screen) สวมป้องกัน จะทำให้เสียงมีความชัดเจนแจ่มใสมีคุณภาพดีขึ้น